ยาหรือสมุนไพรบางอย่างที่มีผลกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ Cytochrome P450 - 3A4 หรือ CYP3A4 จะมีผลให้ยาคุมกำเนิดถูกเปลี่ยนแปลงและขับออกมากขึ้น จึงอาจทำให้ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดลดลงได้ค่ะ
ซึ่งยาที่มีฤทธิ์กระตุ้นที่แรงมากจนมีผลชัดเจนว่าลดประสิทธิภาพของยาคุมได้ และควรหลีกเลี่ยงการใช้ร่วมกัน ตามที่ U.S. Medical Eligibility Criteria for Contraceptive Use 2016 แนะนำไว้ ได้แก่ ยาบางตัวในกลุ่มยาต้านไวรัสเอดส์, ยารักษาวัณโรค, ยากันชัก และสมุนไพรเซนต์จอห์นเวิร์ต
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
โดยยาดังที่กล่าวมา ไม่ได้มีผลกระทบแค่ฮอร์โมนเอสโตรเจน แต่ยังอาจกระทบกับฮอร์โมนโปรเจสตินด้วย ดังนั้น ไม่ว่ายาคุมที่ใช้จะเป็นชนิดฮอร์โมนรวม (มีทั้งเอสโตรเจนและโปรเจสติน) หรือเป็นชนิดฮอร์โมนโปรเจสตินเดี่ยว ก็ควรต้องระวัง และหลีกเลี่ยงการใช้ร่วมกันค่ะ
และไม่เพียงแต่ยาคุมแบบปกติเท่านั้นที่ต้องหลีกเลี่ยงการใช้ร่วมกับยาดังกล่าว เพราะยาคุมฉุกเฉินเองก็อาจเกิดปัญหา “ยาตีกัน” ได้เช่นกันนะคะ
โดยมีการศึกษาที่พบว่าเมื่อใช้ยาต้านไวรัส Efavirenz (เอฟฟาไวเร็นซ์) ร่วมกับ Levonorgestrel (ลีโวนอร์เจสเทรล) ซึ่งเป็นยาคุมฉุกเฉินชนิดที่มีใช้ในประเทศไทย ระดับยาในเลือดของลีโวนอร์เจสเทรลจะลดลง 56%
หรือเมื่อใช้ยารักษาวัณโรค Rifampin (ไรแฟมปิน) ร่วมกับ Ulipristal (ยูลิพริสตัล) ซึ่งเป็นยาคุมฉุกเฉินที่ยังไม่มีใช้ในประเทศไทย ระดับยาในเลือดของยูลิพริสตัลจะลดลงมากกว่า 90% ค่ะ
…แล้วจะเหลืออะไรไปป้องกันการตั้งครรภ์ได้ล่ะเนี่ย!!!
แม้ว่าจะยังไม่มีผลการศึกษากับยาตัวอื่น ๆ ว่าจะมีผลต่อยาคุมฉุกเฉินด้วยหรือไม่ แต่คาดว่าด้วยกลไกที่ไม่ต่างกัน ก็น่าจะเกิดผลกระทบไม่แตกต่างกันมากค่ะ
ดังนั้น จึงมีคำแนะนำว่า หากมีการใช้ยาหรือสมุนไพรที่กระตุ้นเอนไซม์ CYP3A4 อย่างรุนแรง ได้แก่ ยาบางตัวในกลุ่มยาต้านไวรัสเอดส์, ยารักษาวัณโรค, ยากันชัก และสมุนไพรเซนต์จอห์นเวิร์ต ในช่วง 4 สัปดาห์ที่ผ่านมา หากจำเป็นต้องคุมกำเนิดแบบฉุกเฉิน ควรเลือกใช้วิธีใส่ห่วงอนามัยชนิดหุ้มทองแดงแทนค่ะ
ซึ่งสามารถใส่ห่วงอนามัยชนิดหุ้มทองแดงภายใน 120 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ได้ และมีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์สูงมาก นั่นคือ มีโอกาสตั้งครรภ์เพียง 0.6 – 0.8% เท่านั้นเองค่ะ อีกทั้งยังมีผลคุมกำเนิดต่อเนื่องไปได้นาน 3 – 10 ปี ขึ้นกับรุ่นของห่วงอนามัยที่ใช้ (แต่ต้องให้สูตินรีแพทย์ใส่ห่วงอนามัยให้นะคะ ไม่สามารถใส่เองได้)
แต่ในกรณีที่ไม่สะดวกที่จะใช้วิธีดังกล่าว และต้องการรับประทานยาคุมฉุกเฉินชนิดตัวยาลีโวนอร์เจสเทรล แม้ไม่มีการระบุเป็นแนวทางปฏิบัติมาตรฐานทั่วไป แต่ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญตามแนวทางของ FSRH UKMEC guidance 2016 แนะนำให้รับประทานเป็น 2 เท่าของขนาดปกติในครั้งเดียว นั่นหมายถึง ต้องรับประทานยารวม 2 กล่องในครั้งเดียวนะคะ
ซึ่งก็คือ ถ้าใช้ยาคุมฉุกเฉินยี่ห้อโพสตินอร์, มาดอนนา, แมรี่ พิงค์, นอร์แพ็ก และเลดี้นอร์ จะต้องรับประทานยารวม 4 เม็ดในครั้งเดียว
หรือถ้าใช้ยาคุมฉุกเฉินยี่ห้อเมเปิ้ล ฟอร์ท จะต้องรับประทานยารวม 2 เม็ดในครั้งเดียวค่ะ
โดย FSRH UKMEC guidance 2016 จะยังแนะนำให้รับประทานยาคุมฉุกเฉินภายใน 72 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์นะคะ ซึ่งแตกต่างจาก U.S. Medical Eligibility Criteria for Contraceptive Use 2016 และ WHO: Selected practice recommendations for contraceptive use 2016 ที่แนะนำว่าสามารถใช้ได้ภายใน 120 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากประสิทธิภาพในการป้องกันของการรับประทานยาคุมฉุกเฉินต่ำกว่าการใส่ห่วงอนามัยชนิดหุ้มทองแดงมากอยู่แล้ว ดังนั้น แม้จะมีการปฏิบัติตามแนวทางนี้ ก็ยังถือว่ามีความเสี่ยงที่จะตั้งครรภ์ได้มากกว่าวิธีคุมกำเนิดปกติอยู่ดีค่ะ