หมอครับผมรบกวนสอบถามครับ พอดีเมื่อวันที่26ที่ผ่านมา ผมมีพสพ.กับแฟนโดยใส่ถุงยางแล้วก็เสร็จในถุงยางตอนชักออกมาผ่านไปไม่ถึงนาทีผมก็สอดใส่เข้าไปใหม่อวัยวะยังไม่อ่อนตัวแล้วก็ไม่ถึงนาทีก็เสร็จอีกเป็นรอบ2(ด้วยท่าปกติที่ผู้หญิงอยู่ล่างชายอยุ่บน) มีโอากาสที่อสุจิจะไหลย้อนออกมาหรือล้นออกมาไหมครับขนาดของถุงยางพอดีกับอวัยวะของผมแล้วแฟนผมมีโอกาสท้องไหมครับ

โอกาสเกิดได้น้อยมากครับ หากถุงยางอนามัยไม่ฉีกขาดหรือรั่วตรงส่วนปลาย
เนื่องจากปกติถุงยางอนามัยจะมีส่วนกระเปาะไว้เก็บน้ำอสุจิครับ หากสวมไปใหม่ปริมาณไม่ได้มากพอที่จะท้นออกมาจนปนเปื้อนช่องคลอดได้ครับ จึงมีโอกาสน้อยมากที่จะทำให้เกิดการตั้งครรภ์ครับ

แต่หากไม่มั่นใจว่ามีอสุจิปนเปื้อนไหลออกมา อาจพิจารณาทานยาคุมฉุกเฉินใน120ชั่วโมง หลังมีความเสี่ยง เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ครับ

สวัสดีครับ
หากจะใช้ถุงยางอนามัยให้ถูกต้อง หากมีเพศสัมพันธฺหลายครั้ง ควรเปลี่ยนถุงยางอนามัยทุดครั้ง หากมีการหลั่งน้ำอสุจิครับ
กรณีนี้ จึงมีโอกาสผิดพลาด ถุงยางอนามัยรั่ว หรือ ฉีดขาดครับ และเสี่ยงตั้งครรภ์ได้ครับ

ดังนั้น หากไม่แน่ใจ และไม่ได้คุมกำเนิดโดยวิธีอื่นๆ ช่วย อาจจะต้องรับประทานยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน โดยเร็วที่สุดครับ

โดยหากรับประทานภายใน 24 ชม แรกหลังมีเพศสัมพันธ์ จะเพิ่มประสิทธิภาพการคุมกำเนิดได้ประมาณ 85% -90%

ถ้ากินภายใน 72 ชม ประสิทธิภาพได้ประมาณ 75% ครับ

และช้าสุดที่ 120 ชม ประสิทธิภาพ ของการป้องกันการตั้งครรภ์ยังพอมีอยู่ แต่ลดลงไปมากครับ

วิธีการคุมกำเนิดฉุกเฉินอีกวิธี ที่สามารถทำได้ หรือถ้าต้องการประสิทธิภาพการคุมกำเนิดมากขึ้น จะเปลี่ยนไปคุมกำเนิดโดยใช้ ห่วงอนามัยชนิดเคลือบสารทองแดงก็ได้ครับ
วิธีนี้ ประสิทธิภาพจะสูงกว่ายาคุมกำเนิดในช่วง 72-120 ชมครับ (สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ตั้งแต่ 0-120 ชมได้ดี และมีประสิทธิภาพประมาณ 99%) ครับ

อย่างไรก็ตาม หลังรับประทานยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน อาจมีผลข้างเคียงครับ

ผลข้างเคียงหลังจากรับประทานยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน ได้แก่อาการคลื่นไส้อาเจียน เวียนหัว และหลังจากรับประทานในช่วงสัปดาห์แรก อาจมีเลือดออกกะปริดกะปรอยได้ แต่ไม่ใช่เลือดประจำเดือน แต่เป็นผลข้างเคียงของยาคุมฉุกเฉินครับ ประจำเดือนของคนไข้ ควรมาตรวรอบตามปกติครับ หากพบว่าประจำเดือนไม่มาตามรอบปกติเกิน 1-3 สัปดาห์ (หรือหลังมีเพศสัมพันธ์ 14 วัน) ให้ทดสอบการตั้งครรภ์ หรือพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้องครับ

สวัสดีครับ
ในกรณีนี้ไม่ทราบว่าได้มีการเปลี่ยนถุงยางอนามัยใหม่ก่อนการสอดใส่รอบที่ 2 หรือไม่ครับ

ถ้าหากไม่ได้มีการเปลี่ยนถุงยางอนามัยก็จะถือว่ามีความเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ได้มากเนื่องจากเป็นการใช้ถุงยางอนามัยซ้ำซึ่งผิดไปจากหลักการใช้ถุงยางอนามัยที่ถูกต้องครับ

และถ้าหากเป็นการใช้ถุงยางอนามัยที่ผิดแบบข้างต้นหมอก็แนะนำว่าควรหายาคุมฉุกเฉินมารับประทานให้เร็วที่สุดก่อน โดยให้รับประทานภายใน 72 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ก็จะช่วยลดโอกาสตั้งครรภ์ลงได้ 75-85% แต่ถ้าหากเลยช่วงเวลาดังกล่าวไปแล้วก็ยังอนุโลมให้รับประทานภายใน 120 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ได้ แต่ประสิทธิภาพของยาก็จะลดลงไปเรื่อยๆตามเวลาที่ผ่านไปครับ

สวัสดีครับ ถ้าใช้ถุงยางอย่างถูกต้องใส่พอดี และ ถ้ามีเพศสัมพันธ์ เสร็จแล้วตรวจเช็คว่าไม่มีการรั่ว โอกาสตั้งครรภ์ก็น้อยมากครับ

แต่ไม่ทราบว่าที่มีเพศสัมพันธ์รอบสอง ได้เปลี่ยนถุงยางใหม่ไหมครับ หรือใช้ถุงยางอันเดิมครับ

ถุงยางอนามัย ถ้าใช้อย่างถูกต้อง เป็นวิธีคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพค่ะ ป้องกันการตั้งครรภ์ได้ มากกว่า 95%

แต่การใช้ที่ถูกต้อง จะใช้ได้ครั้งเดียว ต้องเปลี่ยนถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีการสอดใส่ค่ะ

การใช้ถุงยางอนามัยซ้ำโดยไม่เปลี่ยนหลังมีการหลั่งไปแล้วมีโอกาสที่จะทำให้ผิดพลาดตั้งครรภ์ได้มากขึ้นครับ ถ้าหากต้องการความมั่นใจหมอแนะนำว่าในกรณีนี้ควรหายาคุมฉุกเฉินมารับประทานให้เร็วที่สุดตามที่หมอได้แนะนำไปก่อนครับ

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม คือการใช้ถุงยางอนามัยซ้ำ ซึ่งถือว่าผิดหลักการใช้ถุงยางที่ถูกต้องนะครับ ในกรณีนี้ สามารถที่จะมีอสุจิ ไหลออกมานอกถุงยางได้ครับ

แนะนำเบื้องต้นครับ ควรซื้อยาคุมฉุกเฉินมากิน ภายใน 72 ชั่วโมงครับ จะสามารถป้องกันได้ 80% ครับ

สามารถกินได้ครับ แต่การกินยาคุมฉุกเฉิน จะทำให้ได้รับฮอร์โมนเพศหญิงปริมาณมาก ถ้าได้ฮอร์โมนเพศหญิงมากๆ ก็จะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน คัดเต้านม ปวดหัว เป็นต้นครับ

การรับประทานยาคุมฉุกเฉินไม่ได้มีข้อกำหนดว่าห้ามรับประทานเกินกร่ครั้งครับ ในกรณีที่มีการผิดพลาดจากการใช้ถุงยางอนามัยจึงสามารถรับประทานยาคุมฉุกเฉินได้อีกครับ

อย่างไรก็ตามการรับประทานยาคุมฉุกเฉินบ่อยๆนั้นอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงจากยาคุมฉุกเฉินได้มากขึ้น เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ปวดศีรษะ คัดตึงเต้านม ตกขาวมากขึ้น เลือดออกผิดปกติระหว่างรอบเดือน ดังนั้นหลังรับประทานยาคุมฉุกเฉินครั้งนี้แล้วในครั้งต่อไปที่ตะมีเพศสัมพันธ์ก็ควรใช้ถุงยางอนามัยให้ถูกต้องตามคำแนะนำทุกครั้งเพื่อที่จะไม่ต้องรับประทานยาคุมฉุกเฉินอีกครับ

การรับประทานยาคุมฉุกเฉินไม่ได้มีข้อกำหนดว่าห้ามรับประทานเกินกร่ครั้งครับ ในกรณีที่มีการผิดพลาดจากการใช้ถุงยางอนามัยจึงสามารถรับประทานยาคุมฉุกเฉินได้อีกครับ

อย่างไรก็ตามการรับประทานยาคุมฉุกเฉินบ่อยๆนั้นอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงจากยาคุมฉุกเฉินได้มากขึ้น เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ปวดศีรษะ คัดตึงเต้านม ตกขาวมากขึ้น เลือดออกผิดปกติระหว่างรอบเดือน ดังนั้นหลังรับประทานยาคุมฉุกเฉินครั้งนี้แล้วในครั้งต่อไปที่ตะมีเพศสัมพันธ์ก็ควรใช้ถุงยางอนามัยให้ถูกต้องตามคำแนะนำทุกครั้งเพื่อที่จะไม่ต้องรับประทานยาคุมฉุกเฉินอีกครับ

และการรับประทานยาคุมฉุกเฉินก็ไม่ได้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งครับ

เนื่องจากในกรณีนี้เป็นการใช้ถุงยางอนามัยที่ผิดวิธีหมอจึงไม่สามารถรับรองเรื่องความปลอดภัยในการตั้งครรภ์ได้ครับ ถ้าหากต้องการความมั่นใจและลดโอกาสตั้งครรภ์ให้เหลือน้อยที่สุดหมอก็แนะนำให้หายาคุมฉุกเฉินมารับประทานให้เร็วที่สุดก่อนครับ

โอกาสที่จะเกิดผลข้างเคียงที่ทำให้มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน มีเลือดออกผิดปกตินั้นอาจจะมากกว่าการรับประทานยาคุมในครั้งแรกได้ครับ แต่การรับประทานยาก็จะเป็นวิธีที่ช่วยลดโอกาสตั้งครรภ์ให้น้อยลงได้

สำหรับ อาการผิดปกติดังกล่าว อาจจะเกิดหรือไม่เกิดขึ้นก็ได้ครับ แต่โดยปกติแล้วการกินยาคุมฉุกเฉินมีโอกาสได้มากที่จะเกิดผลข้างเคียงครับ

สำหรับอาหารบำรุงร่างกายที่ดีที่สุด คือการกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ครับ ดื่มน้ำมากๆ และออกกำลังกายครับ คืออาหารบำรุงร่างกายที่ดีที่สุดในโลกแล้วครับ ไม่จำเป็นต้องหาอาหารเสริมกินเพิ่มเติมครับ

และถ้าเสียเลือดมาก ควรกินเลือด เครื่องในเพิ่มครับ เป็นต้น

การมีเลือดออกผิดทางช่องคลอดจากผลข้างเคียงของยาคุมฉุกเฉินมักเป็นเลือดที่ออกมาในปริมาณเพียงเล็กน้อยและสามารถหยุดได้เองโดยไม่ทำให้เกิดอันตรายครับ ในกรณีนี้จึงไม่มีความจำเป็นต้องรับประทานอะไรเพื่อบำรุงเพิ่มเติม

แต่ถ้าหากเลือดที่ออกมานั้นออกมาในปริมาณมาก หยุดยากก็ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและให้การรักษาครับ

ก็อาจจะได้ผลครับ แต่ผลตรวจอาจจะไม่แน่นอนครับ เพราะตรวจเร็วเกินไปครับ ต้องตรวจอย่างน้อย 14 วันหลังมีเพศสัมพันธ์ครับและใช้ปัสสาวะในช่วงเช้าหลังตื่นนอนครับ ผลจะเชื่อได้ 99% ครับ

การตรวจการตั้งครรภ์ควรตรวจห่างจากการมีเพศสัมพันธ์ครั้งสุดท้ายอย่างน้อย 14 วันและใช้ปัสสาวะแรกหลังตื่นนอนตอนเช้าในการตรวจ จึงจะให้ผลตรวจที่เชื่อถือได้ 97-99% ครับ

ถือเป็นความคิดที่ดี ครับที่ลองทำ แต่ต้องคิดไว้เสมอครับ ว่าการทดลองทำ กับการทำจริงมันมีปัจจัยที่ต่างกัน เหตุการณ์ที่ต่างกัน ผลที่ออกมาก็อาจจะต่างกันครับ

แต่ถ้ามั่นใจว่าจากการทดลองทำแล้วไม่พบอสุจิย้อนกลับมา แล้วจะเชื่อแบบนั้นก็ได้ครับ

แล้วถ้ามั่นใจว่า ไม่ย้อนกลับมาแน่ๆ แล้วไม่อยากให้แฟนกินยาคุม อันนี้ก็ต้องแล้วแต่คุณและแฟนนะครับ พวกผมมีหน้าที่ให้คำแนะนำครับ

แต่แนะนำไว้อีกอย่างครับ ถ้าไม่กินยาคุมฉุกเฉินเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ ไม่ว่าจะเหตุผลอะไรก็ตาม ถ้าเกิดการตั้งครรภ์ขึ้นมาแล้ว จะย้อนเวลากลับไม่ได้แล้วนะครับ และจะมานั่งเสียใจทีหลังนะครับ ดังคำที่ว่า "กันไว้ดีกว่าแก้" ครับ

การใช้ถุงยางอนามัยที่ถูกต้องนั้นจะต้องถอดเปลี่ยนถุงยางอนามัยใหม่ทันทีที่มีการหลั่งครับ ไม่เช่นนั้นก็จะมีโอกาสผิดพลาดตั้งครรภ์ได้ง่ายครับ

ดังนั้นถ้าหากต้องการให้แน่ใจว่ามีความเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์น้อยที่สุดก็ควรรับประทานยาคุมฉุกเฉินให้เร็วที่สุดก่อนครับ

ถ้ายังไม่เกิน 120 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ก็สามารถรับประทานยาคุมฉุกเฉินได้ครับ

ทั้งนี้ควรรับประทานให้เร็วที่สุดเพราะถ้ายิ่งปล่อยให้เวลาผ่านไปประสิทธิภาพของยาคุมฉุกเฉินก็จะยิ่งลดลงไปเรื่อยๆครับ

ถ้าครบ 72 ชม.แต่ไม่เกิน 120 ชม.ก็ยังพอมีประสิทธภาพต่อการคุมกำเนิดอยู่ครับ ประมาณ 80%ครับ

ใช่ครับ ถ้าหากต้องการความมั่นใจหมอก็แนะนำให้รับประทานบาคุมฉุกเฉินให้เร็วที่สุดก่อนครับ

ถ้าหากไม่ได้มีการสอดใส่ระหว่างมีเพศสัมพันธ์เลยก็จะไม่มีความเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์และไม่มีความจำเป็นต้องรับประทานยาคุมในกรณีนี้ครับ

แต่ถ้าหากต้องการรับประทานยาคุมเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์จากการมีเพศสัมพันธ์ในครั้งต่อไปก็สามารถเริ่มรับประทานได้ดังนี้ครับ
- ให้เริ่มรับประทานยาคุมภายใน 5 วันแรกของการมีประจำเดือน ยาคุมก็จะมีผลป้องกันการตั้งครรภ์ได้ทันทีตั้งแต่วันแรกที่รับประทานยา หรือ
- ถ้าหากไม่ได้เริ่มรับประทานยาคุมภายใน 5 วันแรกของการมีประจำเดือน ก็จะต้องรับประทานยาคุมติดต่อกันให้ได้อย่างน้อย 7 วันก่อน ยาคุมจึงจะเริ่มออกฤทธิ์ป้องกันการตั้งครรภ์ได้ และในช่วง 7 วันแรกของการรับประทานยาก็จะต้องงดการมีเพศสัมพันธ์หรือใช้ถุงยางอนามัยร่วมด้วยไปก่อนครับ