มีอาการตกขาวหลังจากมีเพศสัมพันธ์ โดยลักษณะเป็นน้ำใสๆ จนขุ่นขาว และสีเหลืองจนเขียวบางครั้ง เป็นมา 4 วัน โดยมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ใส่ถุงยางและหลั่งใน ปกติทานยาคุมมาเป็นระยะเวลาปีกว่าๆ โดยวันแรกของรอบเดือนครั้งล่าสุดคือวันเสาร์วันที่ 27 กค และมีเพศสัมพันธ์ครั้งล่าสุด คือ เสาร์ ที่ 3 สค อยากถามว่าจะมีภาวะเสี่ยงอะไรหรือแพ้อะไรไหมคะ โดยผช ทานแอลกอฮอลล์มาปริมาณมากเมื่อคืนวันศุกร์ก่อนมีเพศสัมพันธ์ค่ะ

ตกขาวปกติจะมีสีขาวใส และไม่มีกลิ่นครับ
ตกขาวที่มีสีหรือกลิ่น หรือมีเลือดปน มักเป็นตกขาวที่ผิดปกติครับ ซึ่งเกิดได้จากหลายอย่างครับ เช่น
- ตกขาวสีขาว เป็นก้อนเปียก มีกลิ่น คล้ายนมบูด และคัน อาจจะเกิดจากเชื้อราครับ
- ตกขาวสีขาวปนเทา กลิ่นคล้ายคาวปลา อาจจะเกิดจากการสวดล้างช่องคลอด ทำให้แบคทีเรียบริเวณช่องคลอดไม่สมดุลครับ
- ตกขาวสีเขียวปนเทา กลิ่นเหม็น มีฟองมาก และคัน อาจเกิดจากเชื้อปรสิต
-ตกขาวสีเหลือง/เขียว เจ็บ/คันรอบช่องคลอด หรือเจ็บขณะปัสสาวะหรือมีเพศสัมพันธ์ อาจเกิดจากเชื้อหนองในแท้หรือหนองในเทียม
เป็นต้นครับ

เบื้องต้น งดสวดล้างช่องคลอด งดมีเพศสัมพันธ์ ดื่มน้ำมากๆ ไม่กลั้นปัสสาวะ ไม่ใส่เสื้อผ้าอับชื้น ครับ

แนะนำให้ ไปพบแพทย์หรือสูติแพทย์ เพื่อตรวจร่างกาย ตรวจภายใน และอาจนำตกขาวไปตรวจเพิ่มเติมเพื่อจะได้วินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง และที่สำคัญถ้านำคู่นอนไปตรวจด้วยก็จะดีครับ เผื่อเป็นโรคที่จะต้องรักษาด้วยครับ

สวัสดีครับ สำหรับการตกขาว ถ้ามีตกขาวสีผิดปกติ มีกลิ่น อาจจะเกิดได้จาก 
1.การติดเชื้อที่ปากมดลูก คือการติดเชื้อแบคทีเรียต่างๆที่ปากมดลูก จะทำให้มีตกขาวมีกลิ่น สีผิดปกติ 
2.การติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน จะมีอาการปวดท้องน้อย ตกขาวสีผิดปกติ ตกขาวมีกลิ่น 
3.การติดเชื้อที่มดลูก จะทำให้ปวดท้องน้อย ตกขาวสีผิดปกติ และมีกลิ่นได้เช่นกัน

การรักษาทุกอย่างที่กล่าวไปคือการได้รับยาฆ่าเชื้ออย่างเหมาะสมครับ แนะนำว่าควรไปตรวจที่โรงพยาบาลเพื่อยืนยันครับ

สำหรับการตกขาว ถ้ามีตกขาวสีผิดปกติ เช่น สีดำ สีน้ำตาล สีแดงและ มีกลิ่น อาจจะเกิดได้จาก  
1.การติดเชื้อที่ปากมดลูก คือการติดเชื้อแบคทีเรียต่างๆที่ปากมดลูก จะทำให้มีตกขาวมีกลิ่น สีผิดปกติ  
2.การติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน จะมีอาการปวดท้องน้อย ตกขาวสีผิดปกติ ตกขาวมีกลิ่น  
3.การติดเชื้อที่มดลูก จะทำให้ปวดท้องน้อย ตกขาวสีผิดปกติ และมีกลิ่นได้เช่นกัน

ส่วนใหญ่จะเกิดจากโรคติดเชื้อดังนี้ครับ เช่น  
1.เกิดจากเชื้อรา หรือ candidiasis vaginalis ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจาก การติดเชื้อรา ชื่อ candida albican ครับ ซึ่งจะมีตกขาวสีขาวคล้ายนมบูด   
มีกลิ่นเหม็นคาว และคันช่องคลอดครับ ซึ่งสามารถ รักษาได้โดยการสองยา ฆ่าเชื้อราในช่องคลอดครับ   
2.การติดเชื้อแบคทีเรีย หรือ bacterial vaginalis สำหรับ อาการคือ มีอาการคันช่องคลอดได้เช่นกิน อาจจะมีกลิ่นตกขาวคล้ายปลาเน่า คันและแสบช่องคลอดได้ครับ ตกขาวอาจจะสีเขียว หรือขาวขุ่น การรักษาคือการกินยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียครับ   
3.การติดเชื้อที่ชื่อว่าโปรโตซัวชนิดหนึ่ง หรือ trichomoniasis vaginalis ซึ่งจะมีอาการคันช่องคลอด เจ็บปากมดลูก เวลามีเพศสัมพันธ์ อาจจะมีเลือดปนได้ ตกขาวมีกลิ่นคาว สีเขียว สีขาวขุ่น หรือสีแดงคล้ำได้ครับ การรักษาคือการกินยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียเช่นเดียวกันครับ เป็นต้น

การรักษาทุกอย่างที่กล่าวไปคือการได้รับยาฆ่าเชื้ออย่างเหมาะสมครับ แนะนำว่าควรไปตรวจที่โรงพยาบาลเพื่อยืนยันครับ

สวัสดีครับ
ตกขาวที่ปกตินั้นควรจะมีลักษณะเป็นมูกใสๆหนือมีสีขาวขุ่นได้เล็กน้อย โดยที่จะต้องไม่มีกลิ่นเหม็น หรือทำให้เกิดอาการคันครับ

การที่ตกขาวเปลี่ยนไปเป็นสีเหลือง-เขียวนั้นอาจเกิดจากการติดเชื้อบางอย่างได้ เช่น แบคทีเรีย หนองใน เชื้อทริโคโมแนสซึ่งเป็นเชื้อโปรโตซัวชนิดหนึ่ง

ในกรณีนี้หมอแนะนำว่าควรไปพบแพทย์นรีเวชเพื่อตรวจประเมินลักษณะตกขาวให้ทราบสาเหตุที่แน่ชัดก่อน เพื่อที่จะได้ให้การรักษาที่เหมาะสมต่อไปครับ

สวัสดีค่ะ
ตกขาวที่ปกติจะสีมีขาวหรือใส และไม่มีกลิ่นเหม็น ส่วนตกขาวที่ผิดปกติจะมีสีที่แปลกไป เช่น สีเทา สีเขียว สีเหลือง สีชมพู หรือมีเลือดปน หรือมีกลิ่นเหม็นผิดปกติ มีปริมาณที่มากผิดปกติ เป็นก้อนหนา มีอาการแสบคันในช่องคลอด หรือมีอาการปวดหน่วงท้องน้อยร่วมด้วย สาเหตุ ได้แก่

1. การติดเชื้อราในช่องคลอด ตกขาวมักเป็นสีขาวขุ่น จับตัวเป็นก้อนลักษณะคล้ายแป้งเปียกหรือนมบูด และมีอาการแสบหรือคันช่องคลอด รวมถึงอวัยวะเพศด้านนอก เป็นอาการเด่น

2. การติดเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอด ตกขาวมักมีปริมาณที่มากขึ้น มักมีสีเหลือง หรือขาวขุ่น มีกลิ่นเหม็นเหมือนคาวปลา มักมีประวัติสวนล้างช่องคลอดด้วย

3. การติดเชื้อปรสิต ตกขาวมีกลิ่นเหม็นคาว มักมีสีเขียว หรือมีฟองปน และมีอาการแสบหรือคันในช่องคลอดมาก

4. ติดเชื้อหนองในแท้หรือหนองในเทียม ตกขาวมักมีสีเหลืองหรือเขียว มีอาการเจ็บปวดและคันรอบช่องคลอด เจ็บปวดขณะปัสสาวะและขณะมีเพศสัมพันธ์

5. ติดเชื้อไวรัสโรคเริม นอกจากจะมีตกขาวที่มากขึ้นแล้ว จะมีตุ่มแดงหรือแผลที่อวัยวะเพศร่วมด้วย

อาการของผู้ถามใกล้เคียงกับการติดเชื้อแบคทีเรีย/ปรสิตค่ะ แต่อาจมีหลายเชื้อ/หลายสาเหตุ ปนกันได้
แนะนำไปตรวจภายใน เพื่อนำเชื้อไปย้อมดูใต้กล้องจุลทรรศน์เพื่อให้ได้การวินิจฉัยที่ถูกต้อง และยาที่ตรงเชื้อค่ะ

หากหยุดทานยาคุมกำเนิดแล้ว มีโอกาสตั้งครรภ์ได้ครับ

นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์เช่น หนองในแท้ หนองในเทียม เชื้อทริโคโมแนส ซิฟิลิส เอชไอวีเป็นต้น เนื่องจากการมีเพศสัมพันธ์ไม่ป้องกัน

เนื่องจากมีมีตกขาวสีเหลืองปนเขียว หากมีอาการแสบช่องคลอด หรือตกขาวกลิ่นเป็น อาจเกิดได้จากการติดเชื้อทริโคโมแนส

รวมทั้งหากมีปัสสาวะแสบขัดที่อาจเกิดจากการติดเชื้อหนองในแท้ หนองในเทียม เป็นต้น หากมีอาการปวดท้องน้อย มีไข้ ร่วมด้วย อาจเกิดได้จากการติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน จึงควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจภายใน ตรวจหาการติดเชื้อ เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสมต่อไปครับ

ปกติ ผู้หญิงสามารถมีตกขาวได้ค่ะ โดย ลักษณะของตกขาวปกติ จะมีลักษณะแตกต่างกันไปตามแต่ละช่วงของรอบเดือน
โดยช่วงก่อนไข่ตก (2 สัปดาห์ก่อนประจำเดือนมา) จะมีลักษณะเป็นมูกยืดๆ สีใส
หลังไข่ตก จะเปลี่ยนเป็นลักษณะสีขาวคล้ายแป้ง
อย่างไรก็ตาม ตกขาวปกติ จะไม่ทำให้มีอาการคัน ระคายเคือง หรือแสบช่องคลอด ไม่มีกลิ่นเหม็น และไม่มีอาการอื่น เช่น ปวดท้องน้อย หรือเป็นไข้ ร่วมด้วย
ถ้าตกขาวมีอาการผิดไปจากนี้ ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อ ซึ่งมีหลายสาเหตุ จะมีลักษณะตกขาวต่างๆ กับไป เช่น
ตกขาว เหมือนแป้ง เป็นก้อน คล้ายคราบนมเด็ก คันมาก เกิดจากเชื้อรา
ตกขาว สีเหลือง กลิ่นเหม็น ปวดท้อง มีไข้ เกิดจาก อักเสบติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน
ตกขาวสีขาว เทา กลิ่นคล้ายปลา เกิดจาก ไม่สมดุลย์ของแบคทีเรียในช่องคลอด
ซึ่งการรักษา จะรักษาตามสาเหตุ
เพราะฉะนั้น ถ้ามีลักษณะตกขาวผิดปกติไป ควรพบแพทย์ เพื่อตรวจภายในค่ะ จะได้รักษาตรงสาเหตุ