กองบรรณาธิการ HD
เขียนโดย
กองบรรณาธิการ HD

การเจาะน้ำคร่ำเพื่อตรวจสภาวะของทารกในครรภ์

เผยแพร่ครั้งแรก 26 เม.ย. 2018 อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 2020 เวลาอ่านประมาณ 9 นาที
การเจาะน้ำคร่ำเพื่อตรวจสภาวะของทารกในครรภ์

การเจาะน้ำคร่ำเพื่อตรวจสภาวะของทารกในครรภ์เป็นการทดสอบที่เกิดขึ้นระหว่างการตั้งครรภ์ เพื่อตรวจสอบว่าเด็กทารกมีความผิดปรกติทางพันธุกรรมอย่างดาวน์ซินโดรมหรือไม่

กระบวนการของมันมีการนำและทดสอบตัวอย่างเซลล์จากน้ำคร่ำซึ่งเป็นน้ำที่ห้อมล้อมตัวอ่อนในครรภ์ (ภายในมดลูก)

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ฝากครรภ์ คลอดบุตรวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 79 บาท ลดสูงสุด 65%

จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!

จะมีการเจาะน้ำคร่ำตรวจเมื่อไร?

การเจาะน้ำคร่ำเพื่อตรวจสภาวะของทารกนั้นอาจไม่ได้ดำเนินการกับผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ทุกคน โดยมักจะดำเนินการกับกลุ่มที่คาดว่ามีความเสี่ยงที่เด็กจะมีความผิดปรกติทางพันธุกรรมเท่านั้น

ซึ่งอาจเกิดมาจาก:

การทดสอบคัดกรองก่อนหน้าพบแนวโน้มของภาวะปัญหาอย่างโรคดาวน์ซินโดรม มีความบกพร่องที่กระดูกสันหลัง หรือโรคเม็ดเลือดแดงรูปเคียว เป็นต้น หากแม่ที่อุ้มท้องเคยคลอดบุตรที่มีภาวะปัญหามาก่อน หากประวัติครอบครัวของเด็กมีภาวะความผิดปรกติทางพันธุกรรมอย่างเช่นโรคซิสติกไฟโบรซิส หรือโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง และพบความผิดปรกติที่ตัวทารกระหว่างการทำอัลตร้าสแกน

อย่าลืมว่าการเจาะน้ำคร่ำตรวจสภาวะของทารกนั้นขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของมารดา (คุณ) เอง โดยทางแพทย์ผดุงครรภ์ของคุณจะเป็นผู้ชี้แจงเกี่ยวกับการทดสอบที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ และชี้แจงถึงประโยชน์และความเสี่ยงจากการดำเนินการเจาะน้ำคร่ำ เพื่อช่วยในการตัดสินใจของคุณ

การเจาะน้ำคร่ำตรวจดำเนินการอย่างไร?

การเจาะน้ำคร่ำมักดำเนินการกับสตรีที่ตั้งครรภ์ระหว่างสัปดาห์ที่ 15 และ 20 และอาจดำเนินการในช่วงหลังจากนั้นได้ตามความจำเป็น แต่สำหรับการเจาะตรวจก่อนหน้าระยะเวลาดังกล่าวจะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดภาวะแทรกซ้อนของการเจาะน้ำคร่ำได้ จึงไม่ควรทำเร็วเกินไป

ระหว่างการทดสอบ จะมีการใช้เข็มเรียวยาวแทงผ่านผนังช่องท้องลงไป โดยจะมีการใช้เทคนิคอัลตราสแกนช่วยนำทางเข็ม โดยเข็มจะเจาะผ่านถุงน้ำคร่ำที่หุ้มตัวทารกอยู่ และจะทำการดูดเอาตัวอย่างน้ำคร่ำออกมาเพื่อวิเคราะห์ การทดสอบมักใช้เวลาประมาณ 10 นาที

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!

จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง

การเจาะตรวจน้ำคร่ำมักไม่สร้างความเจ็บปวดหรือความไม่สบายตัว แต่ผู้หญิงบางคนก็อาจรู้สึกเจ็บคล้ายปวดประจำเดือน หรือรู้สึกถึงแรงดันขณะที่แพทย์ถอนเข็มออกได้

การรับผลการตรวจ

ผลการตรวจครั้งแรกมักจะออกมาภายในสามวัน ซึ่งสามารถบอกได้ว่ามีการพบโรคใดบ้าง (ดาวน์ เอ็ดเวิร์ด หรือพาทัวซินโดรม) หากเป็นการทดสอบหาภาวะความผิดปรกติที่หายากกว่านั้น อาจใช้เวลาสองถึงสามอาทิตย์กว่าผลจะออก

ถ้าหากผลการตรวจน้ำคร่ำออกมาแสดงให้เห็นว่าลูกของคุณมีความผิดปรกติทางพันธุกรรมชนิดรุนแรง แพทย์จะชี้แจงผลการตรวจและอาการที่ลูกคุณต้องประสบให้แก่คุณ ซึ่งสภาวะส่วนมากที่พบจากการตรวจน้ำคร่ำจะไม่มีทางรักษา

คุณอาจเลือกอุ้มท้องต่อไปพร้อมกับการค้นหาแนวทางรับมือกับภาวะของบุตร หรืออาจเลือกอีกทางขึ้นอยู่กับคุณเอง ดังนั้นคุณต้องพิจารณาและตัดสินใจหาทางออกที่ดีและถี่ถ้วนที่สุด

ความเสี่ยงของการเจาะนำคร่ำเพื่อตรวจสภาวะทารกมีอะไรบ้าง?

แพทย์ต้องชี้แจงเรื่องของความเสี่ยงและภาวะข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังการเจาะให้กับผู้ที่ต้องการทำการเจาะตรวจน้ำคร่ำก่อนการตัดสินใจทุกครั้ง ความเสี่ยงของการเจาะตรวจที่สำคัญที่สุดคือการแท้งบุตร หรือก็คือการสูญเสียบุตรในครรภ์ในช่วงอายุ 23 สัปดาห์แรก โดยคาดประมาณว่าสตรีที่แท้งบุตร 1% มาจากการเจาะน้ำคร่ำไปตรวจ

ความเสี่ยงอื่น ๆ ยกตัวอย่างเช่นการติดเชื้อ หรือการต้องทำการเจาะซ้ำเนื่องจากผลการทดสอบในครั้งแรกอาจไม่ได้ให้ผลที่แม่นยำที่สุด ความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนหลังการเจาะตรวจน้ำคร่ำจะมีสูงขึ้นหากดำเนินการเจาะตรวจขณะที่ตั้งครรภ์เพียง 15 สัปดาห์ จึงเป็นเหตุผลที่การเจาะตรวจน้ำคร่ำสามารถเริ่มทำได้หลังจากอายุครรภ์เลยช่วงนี้ไปแล้ว

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!

จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง

ทางเลือกอื่น ๆ มีอะไรบ้าง?

วิธีการเจาะตรวจน้ำคร่ำอีกวิธีเรียกว่าการตรวจชิ้นเนื้อรก (CVS) ซึ่งจะเป็นการใช้ตัวอย่างเซลล์จากพลาเซนต้าหรือรก (อวัยวะที่เชื่อมเส้นทางส่งถ่ายเลือดจากแม่สู่ทารกในครรภ์)

วิธีการนี้มักดำเนินการระหว่างช่วงสัปดาห์ที่ 11 และ 14 ของการตั้งครรภ์ และสามารถดำเนินเมื่ออายุครรภ์เลยจากที่กล่าวไปได้หากจำเป็น

เทคนิค CVS นี้จะมีความเสี่ยงที่ทำให้แท้งอยู่ที่ประมาณ 1 – 2% ซึ่งสูงกว่าอัตราการแท้งบุตรเนื่องจากเจาะน้ำคร่ำเล็กน้อย แต่วิธีการตรวจเช่นนี้สามารถดำเนินการได้เร็วกว่าทำให้คุณมีเวลาพิจารณาผลลัพธ์มากกว่า

หากคุณถูกแนะนำให้เข้าตรวจเพื่อหาความผิดปรกติทางพันธุกรรมของลูกของคุณ ต้องให้ผู้เชี่ยวชาญที่ทำหน้าที่ตรวจให้คุณเข้ามาชี้แจงตัวเลือกการตรวจต่าง ๆ และเพื่อช่วยในการตัดสินใจของคุณ

ทำไมถึงแนะนำให้ทำการตรวจสภาวะทารก?

การเจาะตรวจน้ำคร่ำทำให้แม่ที่กำลังตั้งครรภ์เข้าใจถึงความเสี่ยงที่ลูกจะออกมามีภาวะความผิดปรกติทางพันธุกรรม และเพื่อวินิจฉัยภาวะที่อาจมีตั้งแต่ช่วงแรก ๆ

การเจาะตรวจน้ำคร่ำไม่ใช่กระบวนการบังคับที่ต้องให้คุณแม่ท้องทุกคนปฏิบัติก่อนคลอด มันเป็นเพียงข้อเสนอที่ควรทำการตรวจก็ต่อเมื่อมีประวัติทางการแพทย์ของพ่อแม่หรือของครอบครัวอยู่ในกลุ่มเสี่ยง

ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคุณเองว่าการตรวจนี้จำเป็นจริง ๆ หรือไม่

การเจาะตรวจน้ำคร่ำสามารถตรวจพบภาวะใดได้บ้าง?

การเจาะตรวจน้ำคร่ำสามารถวินิจฉัยและหาภาวะความผิดปรกติทางพันธุกรรมร้ายแรงได้หลายประเภทดังนี้:

  • ดาวน์ซินโดรม: ซึ่งเป็นภาวะที่ส่งผลต่อความบกพร่องทางระดับการเรียนรู้และบุคลิกภาพการแสดงออก
  • เอ็ดเวิร์ด ซินโดรม และพาทัวซินโดรม: ภาวะที่ส่งผลให้แท้งบุตร การเสียชีวิตในครรภ์ หรือ (กรณีที่ทารกรอดออกมา) มีปัญหาทางร่างกายรุนแรง และมีความบกพร่องทางการเรียนรู้
  • โรคซิสติกไฟโบรซิส: ภาวะที่ทำให้ปอดและระบบย่อยอาหารเกิดอุดตันด้วยเมือกเหนียว
  • โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง: ภาวะที่ทำให้เกิดอาการอ่อนแรงที่กล้ามเนื้อและทำให้พิการ
  • โรคเม็ดเลือดแดงรูปเคียว: ที่ซึ่งเซลล์เม็ดเลือดแดงพัฒนาขึ้นอย่างผิดปรกติ ทำให้ไม่สามารถส่งผ่านออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกายได้คนทั่วไป
  • ทัลลาสซิเมีย: ภาวะที่ส่งผลต่อเซลล์เม็ดเลือดแดง ซึ่งส่งผลทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง จำกัดการเจริญเติบโต และสร้างความเสียหายแก่อวัยวะ

การเจาะตรวจน้ำคร่ำยังสามารถทดสอบหาภาวะหลอดประสาทไม่ปิดได้อีกเช่นกัน ซึ่งประเภทของภาวะที่พบบ่อยคือความบกพร่องที่กระดูกสันหลัง ซึ่งก่อให้เกิดอาการอัมพาต (อ่อนแรง) ที่ช่วงล่าง และมีความบกพร่องทางการเรียนรู้

การตัดสินใจว่าควรเข้ารับการเจาะตรวจน้ำคร่ำหรือไม่

หากคุณถูกแนะนำให้รับการตรวจ CVS ให้คุณปรึกษาแพทย์หรือหมอผดุงครรภ์ของคุณถึงกระบวนการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และความเสี่ยงและผลประโยชน์ที่ได้รับ แต่สำหรับการตัดสินใจนั้น คุณต้องเป็นคนเลือกเอง

เหตุผลที่ควรรับการเจาะตรวจน้ำคร่ำ

การทดสอบมักจะบอกได้ว่าทารกจะเกิดมาพร้อมภาวะทางพันธุกรรมอะไรบ้างโดย ผลการตรวจที่สรุปว่าพบความผิดปรกติจะช่วยให้คุณสามารถมีเวลาตัดสินใจหาแนวทางดูแลการตั้งครรภ์ครั้งนี้อย่างไรบ้างมากขึ้น

เหตุผลที่ไม่ควรรับการเจาะตรวจน้ำคร่ำ

หลังกระบวนการจะมีความเสี่ยงที่จะแท้งบุตร 1% หากคุณรู้สึกว่าความเสี่ยงเท่านี้สูงกว่าประโยชน์ที่จะได้รับก็สามารถเลือกที่จะไม่เข้ารับการตรวจก็ได้

เกิดอะไรขึ้นบ้าง?

การเจาะน้ำคร่ำตรวจสภาวะของทารกในครรภ์จะมีการดึงตัวอย่างน้ำคร่ำปริมาณเล็กน้อยเพื่อทดสอบกับเซลล์ที่ติดขึ้นมา ซึ่งน้ำคร่ำดังกล่าวก็คือของเหลวที่ห้อมล้อมตัวอ่อน (เด็กในครรภ์) ที่อยู่ในมดลูกเอาไว้

การเตรียมตัวเพื่อเข้ารับการเจาะตรวจน้ำคร่ำ

ผู้เข้ารับการตรวจไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวอะไรเป็นพิเศษ คุณสามารถดื่มน้ำหรือรับประทานอาหารก่อนเข้าตรวจได้ตามปรกติ    ในบางกรณีแพทย์อาจจะห้ามไม่ให้คุณเข้าห้องน้ำทำธุระก่อนหน้าการตรวจจริงไม่กี่ชั่วโมง เนื่องจากเมื่อกระเพาะปัสสาวะเต็มอยู่จะทำให้การเจาะตรวจเป็นไปได้ง่ายขึ้น โดยหากต้องปฏิบัติเช่นนี้ ทางแพทย์ผดุงครรภ์จะเป็นผู้ชี้แจงล่วงหน้า อีกทั้งผู้เข้ารับการตรวจก็สามารถพาเพื่อน หรือครอบครัวเข้าไปในห้องปฏิบัติการณ์ได้เพื่อเป็นกำลังใจขณะตรวจ

การสแกนอัลตร้าซาวด์

จะมีการสแกนอัลตราซาวด์ก่อนและระหว่างการเจาะตรวจน้ำคร่ำ โดยการสแกนอัลตราซาวด์จะใช้คลื่นเสียงความถี่สูงในการสร้างภาพภายในครรภ์ออกมาบนหน้าจอ อีกทั้งการใช้อัลตราซาวด์ยังสามารถ:

ตรวจสอบตำแหน่งของตัวอ่อน มองจุดที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเจาะตรวจน้ำคร่ำ และเพื่อให้แพทย์มั่นใจได้ว่าเข็มที่ใช้จะสามารถผ่านทะลุผนังช่องท้องและผนังครรภ์ได้

ยาชา

ก่อนที่แพทย์จะแทงเข็มลงไปยังช่องท้อง ผิวบริเวณที่ต้องเจาะจะถูกทำให้ชาด้วยยาชา ซึ่งจะมาในรูปแบบของการฉีดเข้าไป โดยในกรณีส่วนมาก การใช้ยาชาก็อาจไม่ได้ผล ทำให้มันเป็นกระบวนการที่ไม่จำเป็นต้องฉีดก่อนก็ได้

การเจาะน้ำคร่ำตรวจสภาวะทารกดำเนินการอย่างไร?

จะมีการใช้ยาฆ่าเชื้อเพื่อทำความสะอาดผิวหนังช่วงท้องที่จะทำการเจาะเข็มลงไปเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อลง โดยเข็มที่ใช้จะเป็นเข็มกลวงยาวและบางมาก ซึ่งจะแทงผ่านผนังช่องท้องไปสู่ครรภ์ โดยอาจมีความรู้สึกเจ็บนิดหน่อย

จะมีการใช้เทคนิคอัลตราซาวด์ในการนำทางเข็มลงไปให้ถึงถุงน้ำคร่ำที่หุ้มตัวอ่อนอยู่ เมื่อมาถึง แพทย์จะใช้หลอดฉีดยาติดที่ปลายด้านนอกของท่อเพื่อดูดเอาน้ำคร่ำตัวอย่างออกมา ซึ่งจะถูกส่งไปยังห้องปฏิบัติการณ์เพื่อทำการวิเคราะห์ต่อไป

โดยผู้หญิงตั้งครรภ์ที่เข้าตรวจน้ำคร่ำ 8 จาก 100 คนจะต้องเข้าตรวจซ้ำเนื่องจากปริมาณของเหลวที่ดูดออกมาในครั้งแรกไม่เพียงพอ หากเกิดกรณีเช่นนี้ จะต้องดำเนินการตามข้างต้นซ้ำอีกครั้ง

การเจาะตรวจน้ำคร่ำเจ็บหรือไม่?

อาจมีความรู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัวขณะดำเนินการบ้าง ผู้หญิงบางคนเทียบความรู้สึกขณะถูกเจาะตรวจว่าเหมือนปวดประจำเดือน หรือรู้สึกถึงแรงดันขณะที่เข็มถูกถอนออก

กระบวนการกินเวลานานเพียงใด?

โดยทั่วไปนั้นกระบวนการนี้มักใช้เวลาประมาณ 10 นาที แต่หลังกระบวนการ คุณจะถูกเฝ้ามองอาการเป็นเวลาอีก 1 ชั่วโมง เพื่อระวังกรณีที่เกิดภาวะแทรกซ้อนขึ้นอย่างภาวะเลือดออกอย่างหนัก ซึ่งหากปลอดภัย คุณก็สามารถกลับบ้านได้ ควรพาบุคคลที่สามหรือคนใกล้ชิดมาในวันตรวจด้วย เนื่องจากคุณอาจรู้สึกไม่สบายตัวหลังการดำเนินงานได้

การพักฟื้นตัวหลังการเจาะตรวจน้ำคร่ำ

หลังการเจาะตรวจ มักจะเกิดอาการแน่นท้องคล้ายปวดประจำเดือนได้ และอาจมีเลือดออกทางช่องคลอดเล็กน้อยเป็นเวลาประมาณหนึ่งถึงสองวัน โดยระหว่างนี้คุณสามารถใช้ยาแก้ปวดทั่วไปอย่างพาราเซตตามอลได้ (แต่ไม่ควรทานอิบูโพรเฟนหรือแอสไพริน) ควรหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่ต้องออกแรงในช่วงนี้ ให้ติดต่อไปยังแพทย์ผดุงครรภ์หรือโรงพยาบาลที่ทำการตรวจเจาะทันทีหากเกิดอาการดังต่อไปนี้:

  • มีอาการเจ็บปวดรุนแรงหลายวัน
  • มีอุณหภูมิร่างกายสูงกว่า 38 องศาเซลเซียส
  • มีอาการหนาวสั่น
  • มีของเสีย หรือมีน้ำใส ๆ ออกจากช่องคลอด
  • เกิดการหดรัดตัวขึ้น (อาการที่ช่วงท้องเกิดการเกร็งและผ่อน)

การรับผลตรวจ

ผลการตรวจน้ำคร่ำครั้งแรกมักจะเข้ามาภายในเวลาไม่กี่วัน และแพทย์จะเป็นผู้แจ้งกับคุณว่าพบปัญหาทางโครโมโซมอย่างโรคดาวน์ซินโดรมหรือไม่ หากเป็นการตรวจหาสภาวะโรคที่หายาก ผลการตรวจอาจใช้เวลาวิเคราะห์นานถึงสองหรือสามสัปดาห์จนกว่าได้

คุณสามารถเลือกรับฟังผลจากทางโทรศัพท์หรือไปพบแพทย์ตัวต่อตัวที่โรงพยาบาลก็ได้ คุณยังจะได้รับจดหมายแจ้งผลการตรวจอีกเช่นกัน

ผลการตรวจมีความน่าเชื่อถือเพียงใด?

การเจาะตรวจน้ำคร่ำมักให้ผลที่แม่นยำประมาณ 98 – 99% อย่างไรก็ตาม การตรวจประเภทนี้ก็ไม่สามารถทดสอบความผิดปรกติก่อนคลอดได้ทุกอย่าง และในบางกรณีการตรวจเพียงครั้งเดียวก็ไม่อาจได้ผลที่สามารถสรุปภาวะของทารกได้ อีกทั้งผลการตรวจที่ออกมาปรกติ ก็ไม่ได้หมายความว่าทารกในครรภ์จะมีสุขภาพสมบูรณ์ดี เนื่องจากการทดสอบไม่ได้ตรวจหาร่องรอยของโรคทางพันธุกรรมทุกอย่างที่มี

หากผลการตรวจออกมาเป็น “บวก” แสดงให้เห็นว่าทารกของคุณมีภาวะความผิดปรกตินั้น ๆ ซึ่งหากเป็นเช่นนี้จะมีการให้ข้อมูลเพิ่มเติมแก่คุณ เพื่อให้คุณทำการตัดสินใจหาแนวทางรับมือหรือจัดการกับเรื่องนี้ต่อไป

จะเกิดอะไรขึ้นหากพบปัญหาในน้ำคร่ำ?

หากผลการตรวจสรุปออกมาว่าลูกของคุณจะมีภาวะความผิดปรกติทางพันธุกรรม คุณจะได้รับฟังข้อมูลเพิ่มเติมจากผู้เชี่ยวชาญหลากหลายแขนงที่เกี่ยวข้อง ซึ่งอาจเป็นกุมารแพทย์ นักพันธุศาสตร์ หรือผู้ปรึกษาด้านพันธุศาสตร์ก็ได้ โดยพวกเขาเหล่านี้จะสามารถให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับภาวะดังกล่าวได้ รวมไปถึงปัญหาที่ลูกของคุณต้องเผชิญ การรักษา และการช่วยเหลือต่าง ๆ ที่พวกเขาต้องได้รับ อีกทั้งยังให้ความคิดเห็นในมุมมองการใช้ชีวิตของเด็กในอนาคตต่อไป ทั้งหมดนี้เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจการกระทำของคุณด้วย

โรคทางพันธุกรรมส่วนมากไม่มีทางรักษาให้หายได้ ดังนั้นคุณแม่ทุกคนต้องพิจารณาทางเลือกของตนเองและลูกอย่างถี่ถ้วน ดังนี้:

อุ้มท้องต่อไปโดยพยายามรวบรวมข้อมูลและทำความเข้าใจภาวะดังกล่าว เพื่อเตรียมการตัวคุณให้รับมือกับการดูแลเด็กน้อยคนนี้ หรือทำแท้ง มันเป็นการตัดสินใจที่ยากมาก ซึ่งคุณแม่ไม่จำเป็นต้องตัดสินใจเองคนเดียว คุณควรเริ่มมองหาความช่วยเหลือต่าง ๆ อย่างการปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ พูดคุยกับคู่สมรส ครอบครัว หรือเพื่อนสนิท เพื่อเป็นแรงสนับสนุนและตัวช่วยในการตัดสินใจของคุณ

ความเสี่ยง

ก่อนที่คุณจะตัดสินใจทำการตรวจน้ำคร่ำเพื่อดูสภาวะของทารกในครรภ์ คุณจะได้รับแจ้งเกี่ยวกับความเสี่ยงและภาวะข้างเคียงต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น

โดยความเสี่ยงสำคัญที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการเจาะตรวจมีดังนี้:

การแท้งบุตร

การเจาะตรวจน้ำคร่ำมีความเสี่ยงเล็กน้อยที่จะทำให้เกิดการแท้งลูกได้ หากคุณทำการเจาะตรวจน้ำคร่ำในช่วงอายุครรภ์ผ่านไปแล้ว 15 สัปดาห์ โอกาสของการแท้งบุตรจะอยู่ที่ประมาณ 1% ซึ่งอัตราความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นหากดำเนินการตรวจเร็วกว่าช่วงอายุครรภ์ดังกล่าว ยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงว่าทำไมการเจาะน้ำคร่ำจึงทำให้แท้งบุตรได้ ซึ่งคาดกันว่าอาจเป็นเพราะการติดเชื้อ เลือดออกภายใน หรือความเสียหายที่เกิดขึ้นกับถุงน้ำคร่ำที่หุ้มตัวอ่อนอยู่ก็เป็นได้ การแท้งบุตรส่วนมากเกิดขึ้นหลังจากดำเนินการเจาะน้ำคร่ำตรวจไปแล้ว 72 ชั่วโมง แต่บางกรณีก็แท้งบุตรในช่วงเวลาหลังจากนั้นก็เป็นได้ (มากที่สุดคือหลังจากผ่านการตรวจไปแล้ว 2 สัปดาห์)

ไม่อาจสรุปผลการตรวจได้

หลังการเจาะตรวจน้ำคร่ำ มักจะได้ผลลัพธ์ที่สามารถบ่งชี้ถึงความผิดปรกติทางโครโมโซมของลูกคุณได้ แต่ก็มีโอกาสที่การเจาะตรวจน้ำคร่ำเพื่อดูสภาวะเด็กในครรภ์จะไม่สามารถทดสอบหาร่องรอยของสภาวะได้ทั้งหมด ซึ่งทำให้ผลการตรวจออกมาไม่สามารถยืนยันว่าเด็กจะเกิดมาแข็งแรงสมบูรณ์จริงหรือไม่

การบาดเจ็บจากเข็ม

ระหว่างกระบวนการเจาะน้ำคร่ำ รก (หรืออวัยวะที่เชื่อมระบบส่งถ่ายเลือดของแม่สู่เด็กในครรภ์) อาจเกิดการฉีกขาดจากเข็มได้ โดยกระบวนการจริง ๆ นั้นต้องให้เข็มแทงทะลุไปยังส่วนรก เพื่อทำการดูดของเหลวภายในออกมา ซึ่งการฉีกขาดที่กเกิดขึ้นมักหายเองได้โดยไม่มีปัญหาแทรกซ้อนใด ๆ ซึ่ง ณ ปัจจุบันนี้ได้มีการใช้เทคนิคอัลตราซาวด์ช่วยนำทางเข็มไปสู่รกแล้ว ทำให้โอกาสที่จะเกิดการบาดเจ็บเช่นนี้ลดลงอย่างมาก

การติดเชื้อ

เช่นเดียวกับกระบวนการผ่าตัดต่าง ๆ การเจาะตรวจเองก็มีความเสี่ยงที่คนไข้จะเกิดการติดเชื้อขึ้นระหว่างหรือหลังจากการเจาะตรวจ การติดเชื้อมักเกิดขึ้นจากแบคทีเรียบนผิวหนัง หรือจากเครื่องมือทางการแพทย์เอง

โรครีซัส

หากเลือดของแม่เป็น RhD ลบ แต่ทารกมีเลือดเป็น RhD บวก จะมีโอกาสที่จะมีภาวะแพ้เกิดขึ้นระหว่างการเจาะตรวจน้ำคร่ำ เนื่องมาจากเลือดของเด็กบางส่วนไหลเข้าสู่กระแสเลือดของแม่ ทำให้ร่างกายของแม่สร้างแอนติบอดีเพื่อทำลายเลือดแปลกปลอม ซึ่งหากไม่รักษาจะทำให้ทารกเป็นโรครีซัสได้

หากคุณไม่ทราบกรุ๊ปเลือดของคุณมาก่อน จะมีการตรวจเลือดก่อนดำเนินการเจาะน้ำคร่ำเพื่อมองหาความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเช่นนี้ โดยหากจำเป็น จะมีการฉีดยาที่เรียกว่า anti-D immunoglobulin ซึ่งช่วยยับยั้งอาการแพ้ดังกล่าวได้

เท้าปุก

หากทำการเจาะตรวจน้ำคร่ำเพื่อดูสภาวะทารกเร็วเกินไป (ก่อนอายุครรภ์ 15 สัปดาห์) จะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเท้าปุกของทารก

โดยภาวะเท้าปุกเป็นความพิการที่ข้อเท้าและเท้าที่เป็นตั้งแต่กำเนิด และด้วยเหตุผลเช่นนี้ทำให้การเจาะตรวจน้ำคร่ำจึงไม่เป็นที่แนะนำสำหรับผู้ที่อายุครรภ์ยังไม่ถึง 15 สัปดาห์

 


12 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)

บทความต่อไป
ทำความเข้าใจกับภาวะตั้งครรภ์ที่ไข่ที่ปฏิสนธิไม่ฝังตัว (Chemical Pregnancy) ใช่หรือไม่ใช่?
ทำความเข้าใจกับภาวะตั้งครรภ์ที่ไข่ที่ปฏิสนธิไม่ฝังตัว (Chemical Pregnancy) ใช่หรือไม่ใช่?

การตั้งครรภ์ที่เร็วเกินไปที่จะยืนยันด้วยวิธีการทางชีวเคมี

อ่านเพิ่ม
เมื่อไหร่จึงสามารถมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยหลังภาวะแท้งบุตร?
เมื่อไหร่จึงสามารถมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยหลังภาวะแท้งบุตร?

ต้องรอนานแค่ไหน และทำไมคุณอาจจะไม่รู้สึกอยากกอดจูบลูบคลำมากนัก?

อ่านเพิ่ม
โอกาสเกิดภาวะแท้งบุตรหลังจากตรวจพบการเต้นของหัวใจทารกจากอัลตราซาวด์
โอกาสเกิดภาวะแท้งบุตรหลังจากตรวจพบการเต้นของหัวใจทารกจากอัลตราซาวด์

จะตรวจพบการเต้นของของหัวใจทารกในครรภ์ครั้งแรกที่อายุครรภ์ประมาณ 6 สัปดาห์

อ่านเพิ่ม