การรักษาสิวโดยใช้ยา
- การรักษาสิวโดยการใช้ benzoyl peroxide
การใช้ benzoyl peroxide เป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในกลุ่มยาที่ไม่ต้องใช้ใบสั่งยาในปัจจุบัน ซึ่งเหมาะสำหรับการรักษาสิวในระดับที่ไม่รุนแรงมากถึงรุนแรงปานกลาง ซึ่งมีด้วยกันหลายความเข้มข้น โดยมีตั้งแต่ 2.5% ไปจนถึง 10% และมีด้วยกันหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็น โลชั่น เจล น้ำและครีม benzoyl peroxide สามารถก่อให้เกิดการระคายเคืองได้ ดังนั้นจึงควรใช้ในระดับความเข้มข้นที่ต่ำจะเป็นประโยชน์ต่อผิวมากกว่า และควรเลือกรูปแบบที่อ่อนโยนต่อผิว แต่ก็มีคนไข้จำนวนมากที่ต้องการความรู้สึกที่แห้งหลังการใช้ โดยการเลือกรูปแบบเจลแทน
benzoyl peroxide มีฤทธิ์ในการผลัดเซลส์ผิวและต่อต้านแบคทีเรีย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง p.acne ซึ่งมักอาศัยอยู่ในบริเวณที่มีต่อมไขมันอยู่มาก ในด้านการผลัดเซลส์ผิวจะเป็นการลอกเอาผิวหนังชั้นนอกออกไปเป็นขี้ไคลและทำการสร้างผิวขึ้นมาใหม่ ด้านการต่อต้านแบคทีเรีย อนุมานได้กว่าเกิดจากการปลดปล่อยอนุมูลอิสระของออกซิเจนซึ่งมีศักยภาพในการ oxidation โปรตีนและฆ่าแบคทีเรีย ส่งผลให้เกิดการลดลงของสิวร่วมกับการลดลงของเชื้อ p.acne ความมันบนผิวและกลุ่มไขมันอิสระที่ก่อให้เกิดการอักเสบในต่อม follicle ซึ่งเป็นผลมาจากความแห้งที่เกิดขึ้น ทำให้มีความมันบนผิวลดลงและมีการผลัดเซลส์ผิวแบบอ่อนๆ
ข้อบ่งใช้ benzoyl peroxide ใช้ในการรักษาสิวในระยะที่ไม่รุนแรงมากนักไปจนถึงรุนแรงปานกลางรวมถึงใช้ในการกำจัดความมันส่วนเกินบนใบหน้าได้ นอกจากนี้ benzoyl peroxide ยังสามารถถูกใช้รักษาในผู้ที่มีอาการรุนแรงเป็นการรักษาเพิ่มเติมร่วมกับการทานยาปฏิชีวนะ การใช้ retinoid acid และ sulfur ความสำเร็จของการรักษาขึ้นอยู่กับประเภทของสิว ความถี่ในการใช้และการใช้ร่วมกับวิธีการอื่นๆ
วิธีการใช้ หากใช้ในการทำความสะอาดให้ใช้ล้าง 1 – 2 ครั้งต่อวัน ลงบินผิวที่เปียก ล้างออกและซับให้แห้ง ควบคุมความแห้งและการลอกของผิวได้โดยการปรับความถี่ในการใช้ตามความเหมาะสม หากใช้ในรูปแบบอื่นๆ ให้ใช้ทาวันละหนึ่งครั้งโดยเพิ่มระดับความเข้มข้นและความถี่ในการใช้จากน้อยไปมาก โดยใช้หลังจากการทำความสะอาดผิว ทาบางๆในบริเวณที่ต้องการ อาจมีอาการอุ่น ตึงและแห้งในบริเวณที่มีการใช้หากมีความแห้งหรืออาการลอกที่มากเกินไปให้ลดปริมาณในการใช้ลง หากมีอาการเจ็บหรือไหม้เกิดขึ้นหลังจากการใช้เพียงแค่ครั้งเดียว ให้ล้างออกด้วยสบู่ที่มีความอ่อนโยน และใช้อีกครั้งในวันถัดไป โดยให้ใช้เป็นระยะเวลา 15 นาทีแล้วจึงล้างออก และให้เพิ่มระยะเวลาในการใช้ครั้งละ 15 นาทีโดยปรับตามความเหมาะสม หากสามารถใช้ได้มากกว่า 2 ชั่วโมงให้สามารถใช้ทิ้งไว้ข้ามคืนได้ แนะนำให้คนไข้ใช้ benzoyl peroxide ติดต่อกัน 2 – 6 สัปดาห์เพื่อให้เกิดผลการรักษาที่ดีที่สุด
ข้อควรระวัง พบรายงานการเกิดเนื้องอกในหนูทดลองจากการใช้ benzoyl peroxide แต่ยังไม่มีรายงานว่า benzoyl peroxide เป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์ ทำให้ต้องมีการศึกษาต่อไปเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว benzoyl peroxide สามารถก่อให้เกิดอาการระคายเคืองได้ ดังนั้นจึงแนะนำว่าควรเริ่มใช้จากความเข้มข้นน้อยและค่อยเพิ่มตามความเหมาะสม benzoyl peroxide สามารถใช้ในสตรีมีครรภ์ได้ แต่ยังไม่พบรายงานด้านความปลอดภัยในการใช้ benzoyl peroxide ในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 12 ปี
- การรักษาสิวโดยการใช้ sulfur preparations
sulfur มีฤทธิ์ในการผลัดเซลส์ผิว ทำให้ผิวเกิดการแห้งแม้ว่าจะสามารถรักษาการเกิดสิวได้ แต่ sulfur ก็สามารถก่อให้เกิดสิวขึ้นได้โดยการเพิ่มเซลส์ที่ติดกันได้
ข้อบ่งใช้ เป็นตัวเลือกรองในการใช้รักษาสิวที่มีความรุนแรงระดับน้อยและผู้ที่มีผิวมันได้ โดยใช้ในความเข้มข้น 3 - 10%
ปริมาณการใช้ ให้ทาบางๆ 1 – 3 ครั้งต่อวัน เพื่อผลลัพธ์ที่ดีควรล้างบริเวณผิวด้วยสบู่ที่มีความอ่อนโยนก่อนการใช้ sulfur
ข้อควรระวัง ใช้สำหรับภายนอกเท่านั้น ควรหลีกเลี่ยงการใช้บริเวณใกล้กับดวงตา เปลือกตาและเยื่อเมือก หากผิวมีการระคายเคืองมากขึ้นจากการใช้ sulfur ให้หยุดใช้และติดต่อแพทย์ทันที
- การรักษาสิวโดยการใช้ผลิตภัณฑ์อื่นๆ
ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีฤทธิ์ในการผลัดเซลส์ผิวและสมานผิวเพื่อช่วยในการกำจัดเซลส์ผิวที่ตายแล้วและลดความมันบนผิว มีผลิตภัณฑ์มากมายที่มีส่วนประกอบของ hydro alcoholic หรือ organic solvent ที่ช่วยในการกำจัดความมันบนผิว ซึ่งสารที่มีคุณสมบัติดังกล่าวได้แก่ benzalkonium chloride ethanol isopropyl alcohol triclosan sulfur acetone (มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อโรคแบบอ่อนๆ) zinc oxide (มีฤทธิ์ในการสมานผิว) salicylic acid resorcinol sulfur (มีฤทธิ์ในการผลัดเซลส์ผิว) titanium dioxide zinc oxide (มีฤทธิ์ในการป้องกันและเป็นสารดูดซับ)
ข้อควรระวัง เกี่ยวกับการใช้ salicylic acid คือ มีเพียงความเข้มข้นที่ระดับ 0.5 – 2 % เท่านั้นที่ FDA ให้การรับรอง ใน sulfur มีเพียงระดับความเข้มข้นที่ 3 – 10 % ที่ได้รับการรับรองจาก FDA และใน resorcinol ที่ระดับความเข้มข้น 2 – 3% จึงจะสามารถใช้ในการรักษาสิวได้ดีที่สุด