ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับถั่วเหลือง

เผยแพร่ครั้งแรก 9 มี.ค. 2018 อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 2020 เวลาอ่านประมาณ 3 นาที
ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับถั่วเหลือง

เป็นที่ยอมรับกันว่าถั่วเหลืองเป็นอาหารที่ดีมีประโยชน์มากมายต่อสุขภาพ แต่ก็มีความเชื่อผิดๆเกี่ยวกับถั่วเหลืองเช่นกัน ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีข้อพิสูจน์ที่ชัดเจน เผยแพร่ผ่านทางอินเตอร์เน็ตสู่สังคมเป็นวงกว้าง จนสร้างความสับสนและเกิดคำถามขึ้นมากมายว่า “ถั่วเหลืองดีจริงหรือ”

นักวิจัยเรื่องถั่วเหลืองมีความเห็นว่า งานวิจัยในอดีตจนถึงปัจจุบันชี้ให้เห็นว่าข้อมูลที่ทำให้สับสนด้านลบนั้นยังไม่มีข้อมูลยืนยันชัดเจนเท่าใดนัก เช่น

เชื่อผิด ะต้องกินถั่วเหลืองมากๆ จึงจะได้ประโยชน์ที่ต้องการ

ความจริง องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกาแนะนำว่าการลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดจะต้องบริโภคโปรตีนถั่วเหลืองวันละ 25 กรัม ซึ่งเท่ากับอาหารถั่วเหลืองวันละ 3-4 หน่วยบริโภค โดยเฉลี่ย 1 หน่วยบริโภคเท่ากับนมถั่วเหลือง 240 มิลลิลิตร หรือเต้าหู้ 90 กรัม ซึ่งจะให้โปรตีนประมาณ 6-8 กรัมต่อหน่วยบริโภค

นอกจากนี้ ถั่วเหลืองยังมีสารไอโซฟลาโวนส์ ซึ่งเป็นฮอร์โมนพืชธรรมชาติที่มีฤทธิ์ต่อการทำงานของร่างกาย งานวิจัยพบว่าช่วยป้องกันภาวะกระดูกพรุนและโรคมะเร็ง

เชื่อผิด ถั่วเหลืองทำให้ระดับฮอร์โมนในเลือดผิดปกติ

ความจริง สารไอโซฟลาโวนส์ในถั่วเหลืองมีผลไม่มากต่อระดับฮอร์โมนในเลือดของทั้งหญิงและชาย แม้จะมีโครงสร้างคล้ายเอสโทรเจนแต่ทำงานต่างจากเอสโทรเจนในเลือด งานวิจัยไม่พบว่าการบริโภคถั่วเหลืองจะเปลี่ยนแปลงระดับเอสทอสเทอโรน (ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศชาย) หรือปริมาณสเปิร์ม (น้ำอสุจิ) คุณภาพของสเปิร์มหรือองคชาตของเพศชาย แต่การวิจัยกลับพบว่า ชายและหญิงที่บริโภคไอโซฟลาโวนส์จากอาหารธรรมชาติวันละ 40-70 กรัม (เท่ากับอาหารถั่วเหลือง 2-4 หน่วยบริโภคต่อวัน) ไม่พบการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเทสทอสเทอโรนหรือเอสโทรเจนอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับกลุ่มทดลอง

ผลวิจัยจำนวนมากกลับชี้ให้เห็นว่า ถั่วเหลืองช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งต่อมลูกหมาก

เชื่อผิด ผู้หญิงตั้งครรภ์หรือต้องการไม่ควรบริโภคถั่วเหลืองเพราะจะทำให้เป็นหมัน

ความจริง อาหารถั่วเหลืองไม่มีผลต่อการตั้งครรภ์และปลอดภัยต่อการบริโภคระหว่างตั้งครรภ์

รายงานจากสถาบันสิ่งแวดล้อมและสุขภาพในปี 2006 แนะนำว่าหญิงตั้งครรภ์ที่บริโภคถั่วเหลืองเป็นประจำจะได้รับปริมาณสารเจนิสตีน (Genistein) ต่ำ ซึ่งสารเจนิสตีนเป็นสารในกลุ่มไอโซฟลาโวนส์และมีปริมาณสูงในถั่วเหลือง แต่ก็มีผลต่อระบบการสืบพันธุ์ของหญิงตั้งครรภ์น้อยมาก ส่วนผลที่พบว่าเป็นหมันนั้นเป็นผลจากการทดลองในสัตว์ ซึ่งใช้สารเจนิสตีนระดับสูงในการทดลอง ชาวเอเชียบริโภคถั่วเหลืองสม่ำเสมอหลายชั่วคน แต่ไม่มีรายงานว่าทำให้เป็นหมันตรงกันข้าว กลับมีลูกหลานที่มีคุณภาพสูง

เชื่อผิด กินถั่วเหลืองทำให้เป็นมะเร็งเต้านม

ความจริง  แม้จะมีรายงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ที่พบสารเจนิสตีน ซึ่งอยู่ในกลุ่มของสารไอโซฟลาโวนส์ที่สามารถกระตุ้นเนื้องอกในหนูทดลองที่ขาดภูมิต้านทานและมีเซลล์มะเร็วที่ไวต่อเอสโทรเจนได้ แต่ไม่มีข้อมูลยืนยันในคนที่ระบุว่าการบริโภคถั่วเหลืองกระตุ้นเซลล์มะเร็งหรือทำให้เกิดมะเร็งเต้านม

การวิจัยชี้ว่า เป็นการยากที่จะนำผลการวิจัยในสัตว์ที่กินไอโซฟลาโวนส์ในปริมาณที่สูงมากมาสรุปว่าจะเกิดผลเช่นเดียวกับคน เพราะหนูผลิตฮอร์โมนเอสโทรเจนน้อยกว่าผู้หญิงมาก และความสามารถของสัตว์ในการสลายสารไอโซฟลาโวนส์นั้นแตกต่างจากคน ล่าสุดมีข้อมูลจากงานวิจัยโดยดอกเตอร์มาร์ค เมสซิน่า (Dr.Mark messina) แห่งมหาวิทยาลัยโลมา ลินดา (Loma Linda) สหรัฐอเมริกา รายงานว่า จากการตรวจชิ้นเนื้อเซลล์เต้านมก่อนและหลังได้รับสารไอโซฟลาโวนส์ พบว่าไม่มีผลต่อการเจริญของเซลล์เนื้องอกเต้านม

นอกจากนี้ยังมีหลักฐานที่สนับสนุนการบริโภคถั่วเหลืองคือ หญิงที่บริโภคถั่วเหลืองมีความเสี่ยงมะเร็งเต้านมลดลง การบริโภคถั่วเหลืองไม่ว่าจะอายุเท่าใด จะช่วยป้องกันมะเร็งเต้านมโดยเฉพาะได้ก็ต่อเมื่อบริโภคถั่วเหลืองในวัยเด็กและวัยหนุ่มสาว การกินถั่วเหลืองในวัยเด็กเพียงวันละครั้งช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งเต้านมเมื่อเป็นผู้ใหญ่ได้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ ส่วนการกินถั่วเหลืองในวัยผู้ใหญ่ยังไม่ชัดเจนเท่ากับในวัยเด็ก แต่งานวิจัยที่ศึกษาในกลุ่มชาวจีนพบว่า ผู้ที่บริโภคถั่วเหลืองมากที่สุดมีโอกาสเสียชีวิตจากมะเร็งเต้านมน้อยที่สุด

นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่หญิงชาวเอเชียมีอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งเต้านมลดลง อัตราการเสียชีวิตมีเพียง 1/5 ของหญิงชาวตะวันตก สำหรับผู้ชายก็ได้รับประโยชน์จากการป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมากด้วยเช่นกัน ฉะนั้นถั่วเหลืองจึงปลอดภัยสำหรับหญิงที่มีความเสี่ยงมะเร็งเต้านมหรือเป็นมะเร็งเต้านม งานวิจัยหลักในด้านมะเร็งของสมาคมมะเร็งแห่งสหรัฐอเมริกาเปิดเผยว่า หญิงที่รอดชีวิตจากมะเร็งเต้านมสามารถบริโภคอาหารถั่วเหลืองเป็นส่วนหนึ่งของอาหารเพื่อสุขภาพตั้งแต่ 2-3 หน่วยบริโภคต่อสัปดาห์ถึง 3 หน่วยบริโภคต่อวันได้อย่างปลอดภัย แต่ไม่นำผลิตภัณฑ์เสริมในรูปแคปซูล สำหรับผู้ใช้ยา Tamoxifen รักษามะเร็งเต้านมควรปรึกษาแพทย์ผู้ให้การรักษาด้วย เนื่องจากงานวิจัยในสัตว์ทดลองพบว่าไอโซฟลาโวนส์ในปริมาณสูงจากแหล่งใดๆก็ตาม จะมีผลการเปลี่ยนแปลงฤทธิ์ยา Taxomifen


5 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่
Soy: Types, benefits, and nutrition. Medical News Today. (https://www.medicalnewstoday.com/articles/320472)

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)

บทความต่อไป