อาการฟกช้ำบริเวณต่างๆ มักเกิดจากการกระแทก แต่หากพบความผิดปกติเกี่ยวกับรอยช้ำควรรีบไปพบแพทย์ เพราะอาจเกิดจากโรคร้ายบางชนิดได้
ภาพรวมของผิวหนังฟกช้ำง่าย
รอยฟกช้ำ (Ecchymosis) เกิดขึ้นเมื่อเส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนังแตกออกหรือฉีกขาด ทำให้เลือดออกมาใต้ผิวจนทำให้สีผิวบริเวณดังกล่าวมีการเปลี่ยนแปลง
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
รอยฟกช้ำส่วนมากมักเกิดจากการเดินชนสิ่งของ หรือเกิดจากการกระแทก ความถี่ของการเกิดแผลฟกช้ำจะเพิ่มขึ้นตามอายุ โดยเฉพาะในผู้หญิง เนื่องจากเส้นเลือดฝอยจะแตกหักง่ายขึ้นและผิวหนังจะบางลง ปกติแล้วรอยฟกช้ำที่เกิดขึ้นบางครั้งคราวมักจะไม่ส่งผลต่อสุขภาพ แต่ถ้าเกิดอาการฟกช้ำบ่อย รอยฟกช้ำมีขนาดใหญ่หรือมีเลือดออกที่อื่นร่วมด้วย ก็อาจเป็นสัญญาณของความผิดปกติที่รุนแรงที่ต้องได้รับการรักษาจากแพทย์
สาเหตุของอาการผิวหนังฟกช้ำง่าย
หากเกิดอาการผิวหนังฟกช้ำง่าย อาจเกิดจากภาวะที่เลือดไม่สามารถแข็งตัวเป็นก้อนจากความผิดปกติทางการแพทย์ต่างๆ ที่ซ่อนอยู่ เช่น
- กลุ่มอาการคุชชิง (Cushing’s Syndrome) : เกิดจากความผิดปกติของต่อมใต้สมอง ที่ทำให้ต่อมหมวกไตสร้างฮอร์โมนกลูโคคอร์ติซอยด์มากกว่าปกติ ซึ่งอาจทำให้ผิวหนังบาง เป็นแผลและรอยฟกช้ำง่าย
- โรคเลือดไหลไม่หยุดจากการขาดปัจจัยแข็งตัวของเลือดชนิด II : เกิดจากการขาดปัจจัยแข็งตัวของเลือดชนิด II หรือ Prothrombin
- โรคเลือดไหลไม่หยุดจากการขาดปัจจัยแข็งตัวของเลือดชนิด V : เกิดจากการขาดปัจจัยแข็งตัวของเลือดชนิด V หรือ Proaccelerin
- โรคเลือดไหลไม่หยุดจากการขาดปัจจัยแข็งตัวของเลือดชนิด VII : เกิดจากการขาดปัจจัยแข็งตัวของเลือดชนิด VII หรือ Proconvertin และ Serum Prothrombin Conversion Accelerator
- โรคเลือดไหลไม่หยุดจากการขาดปัจจัยแข็งตัวของเลือดชนิด X : เกิดการขาดปัจจัยแข็งตัวของเลือดชนิด X หรือ Stuart-Prower Factor
- โรคฮีโมฟีเลียชนิดเอ : เป็นโรคทางพันธุกรรมชนิดหนึ่งที่ทำให้ปัจจัยการแข็งตัวของเลือดอยู่ในระดับต่ำหรือไม่มีเลย
- โรคฮีโมฟีเลียชนิดบี : เป็นโรคทางพันธุกรรมชนิดหนึ่งที่ทำให้ปัจจัยการแข็งตัวของเลือดชนิด X อยู่ในระดับต่ำ หรือไม่มีเลย
- โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว (Leukemia) : เกิดจากการที่เซลล์เม็ดเลือดขาวมีการผลิตเพิ่มมากขึ้นจนทำร่างกายไม่สามารถควบคุมได้
- ปริมาณเกล็ดเลือดต่ำ และมีความผิดปกติของเกล็ดเลือด : ผู้ป่วยมีปริมาณเกล็ดเลือดต่ำกว่าปกติ ทำให้เกิดรอยฟกช้ำง่าย เลือดหยุดไหลยาก
- โรควอนวิลลิแบรนด์ (von Willebrand disease) : เกิดจากความผิดปกติในการแข็งตัวของเลือดประเภทหนึ่ง
นอกจากภาวะทางการแพทย์แล้ว มียาอีกหลายชนิดที่ทำให้เกิดอาการฟกช้ำได้ง่ายยิ่งขึ้น เช่น
- กลุ่มยาต้านการแข็งตัวของเลือด : ยาในกลุ่มนี้จะไปลดความสามารถของร่างกายในการห้ามเลือด ด้วยการยับยั้งการสร้างเกร็ดเลือด หรือยับยั้งกระบวนการแข็งตัวของเลือด ยากลุ่มนี้มักใช้ในการรักษาโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง ตัวอย่างยาดังกล่าว ได้แก่ ยา Aspirin ยา Warfarin ยา Clopidogrel ยา Rivaroxaban และ Apixaban
- ยาสเตียรอยด์ : โดยเฉพาะยาสเตียรอยด์แบบทาเฉพาะที่ (Topical Steroids) ซึ่งมักใช้ในการรักษากลากและผื่นที่ผิวหนัง นอกจากนี้ ยาสเตียรอยด์สำหรับพ่นที่ใช้ในผู้ป่วยหอบหืด ลดอาการแพ้ และไข้หวัดรุนแรง ก็มีผลข้างเคียงนี้เช่นกัน
- ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) : หากใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานานจะเพิ่มโอกาสเลือดออกได้ อาจมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น หากรับประทานยาที่มีฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเลือดอยู่แล้วร่วมด้วย
การวินิจฉัยอาการผิวหนังฟกช้ำง่าย
หากสังเกตว่าตนเองมีรอยฟกช้ำบ่อยมากขึ้น และมีรอยฟกช้ำขนาดใหญ่ พร้อมมีเลือดไหลซึมบริเวณอื่นๆ ควรเข้าพบแพทย์ที่ทำการวินิจฉัยสาเหตุที่ซ่อนอยู่ ซึ่งแพทย์อาจวินิจฉัยโดยการซักประวัติทางพันธุกรรม และประวัติทางการแพทย์ จากนั้นอาจให้มีการตรวจเลือด และตรวจความสามารถในการแข็งตัวของเลือด เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดรอยฟกช้ำ
การรักษารอยฟกช้ำ
ส่วนใหญ่แล้ว รอยฟกช้ำจะหายไปเองในไม่กี่วัน แต่สามารถกระกระตุ้นให้ผิวหนังและร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น ด้วยการประคบเย็นเป็นเวลา 15 นาที ร่วมกับยกอวัยวะที่มีรอยช้ำให้สูงเหนือหัวใจ หากรู้สึกปวด สามารถรับประทานยาพาราเซตามอลหรือยาไอบูโพรเฟนได้
การป้องกันผิวหนังฟกช้ำ
รอยฟกช้ำที่ไม่ได้เกิดจากโรคและการใช้ยาบางประเภทสามารถป้องกันได้ด้วยการดูแลตัวเอง เช่น เดินให้ช้าลง และเดินด้วยความระมัดระวัง วางของให้เป็นระเบียบเรียบร้อย และสวมอุปกรณ์ป้องกันเมื่อออกกำลังกาย
ที่มาของข้อมูล
JC Jones MA and Kristeen Cherney, What causes bruises easily? (https://www.healthline.com/symptom/bruises-easily), July 19, 2016.