สูญเสียการได้ยิน (Hearing loss)

อาการ สาเหตุ และวิธีการรักษาภาวะสูญเสียการได้ยิน
เผยแพร่ครั้งแรก 19 ก.พ. 2019 อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 2020 เวลาอ่านประมาณ 11 นาที
สูญเสียการได้ยิน (Hearing loss)

เกี่ยวกับภาวะสูญเสียการได้ยิน

ภาวะสูญเสียการได้ยินเป็นปัญหาทั่วไป มักเป็นผลมาจากเรื่องอายุ หรือฟังเสียงดังเป็นเวลานาน บางครั้งเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน แต่ส่วนมากแล้วมีอาการแบบค่อยเป็นค่อยไปมากกว่า

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!

จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง

อาการและสัญญาณของภาวะสูญเสียการได้ยิน

ภาวะสูญเสียการได้ยินอาจเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน แต่บางครั้งก็เป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ทำให้ไม่ทันได้สังเกตตั้งแต่แรก สัญญาณที่บ่งชี้ว่าอาจอยู่ในภาวะสูญเสียการได้ยินมีดังนี้

  • ได้ยินคนอื่นพูดไม่ชัดเจนและเข้าใจผิด โดยเฉพาะเมื่ออยู่กับกลุ่มคน
  • เริ่มถามให้คนอื่นทวนประโยค
  • ฟังเพลงหรือเปิดโทรทัศน์เสียงดังกว่าปกติ
  • เริ่มได้ยินเสียงเรียกเข้าหรือเสียงกริ่งประตูยากขึ้น
  • ไม่สามารถหาทิศทางต้นกำเนิดของเสียงได้
  • มักรู้สึกเหน็ดเหนื่อยหรือเครียดจากการพยายามฟัง

บางคนอาจสังเกตสัญญาณของภาวะสูญเสียการได้ยินของคนอื่นได้ ก่อนที่คนคนนั้นจะรู้สึกตนเองเสียอีก มีงานวิจัยกล่าวว่า คนเราจะใช้เวลาถึง 10 ปีเริ่มทำอะไรบางอย่างกับภาวะสูญเสียการได้ยิน หลังจากมีคนสังเกตภาวะนี้ครั้งแรก

ส่วนในเด็กทารก ตามปกติเด็กจะได้รับการตรวจคัดกรองภายในไม่กี่สัปดาห์แรกหลังคลอดอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ยังมีสัญญาณบางอย่างที่บ่งชี้ว่าเด็กอาจมีภาวะสูญเสียการได้ยิน

ผู้ใหญ่ควรรีบพาเด็กไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจการได้ยินทันที หากมีอาการต่อไปนี้

  • ไม่ตื่นตกใจจากเสียงดัง
  • ไม่วิ่งเข้าหาเสียง ในขณะที่มีอายุต่ำกว่าสี่เดือน
  • ยังไม่พูดคำแรกหลังมีอายุหนึ่งปี
  • ให้ความสนใจคุณเมื่อพวกเขาเห็นคุณ แทนที่จะสนใจจากการเรียกชื่อ
  • ทำท่าทางให้เห็นว่าได้ยินเสียงที่คนอื่นไม่ได้ยิน
  • เรียนรู้การพูดช้า หรือพูดจาไม่ชัดเจน
  • มักขอให้คุณทวนคำ
  • เมื่อถูกถามแล้วตอบคำถามไม่ตรงประเด็น
  • ไม่ขานรับเมื่อคุณเรียก
  • มักพูดจาเสียงดัง
  • ชอบเปิดโทรทัศน์เสียงดังมาก
  • ใช้วิธีสังเกตและลอกเลียนผู้อื่นเมื่อปฏิบัติกิจกรรม

นอกจากนี้ ภาวะหูอื้อ (tinnitus) ก็นับว่ามีความเกี่ยวข้องกับภาวะสูญเสียการได้ยินเช่นกัน มีอาการคือได้ยินเสียงดังในหู

ระดับของภาวะสูญเสียการได้ยิน

ระดับของการสูญเสียการได้ยินแบ่งออกเป็นสี่ระดับ ใช้เกณฑ์แบ่งจากระดับเสียงเบาที่สุดที่แต่ละคนสามารถได้ยินได้ในหน่วยเดซิเบล (decibels : dB) ดังต่อไปนี้

  1. หูตึงระดับอ่อน : หากคุณมีภาวะสูญเสียการได้ยินระดับอ่อน คุณจะมีระดับการได้ยินที่เบาที่สุดคือ 21-40 dB ภาวะหูตึงระดับอ่อนนี้ อาจทำให้ฟังบทสนทนาได้ลำบากบ้าง โดยเฉพาะหากอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เสียงดัง
  2. หูตึงระดับปานกลาง : หากคุณมีภาวะสูญเสียการได้ยินระดับปานกลาง คุณจะมีระดับการได้ยินที่เบาที่สุดคือ 41-70 dB โดยอาจฟังลำบากมากเมื่อไม่ได้ใช้เครื่องช่วยฟัง
  3. หูตึงระดับรุนแรง : หากคุณมีภาวะสูญเสียการได้ยินระดับรุนแรง คุณจะมีระดับการได้ยินที่เบาที่สุดคือ 71-90 dB ผู้อยู่ในระดับการได้ยินระดับนี้มักจะต้องใช้การอ่านริมฝีปากหรือใช้ภาษามือสื่อสาร แต่ก็สามารถใช้เครื่องช่วยฟังร่วมด้วยได้
  4. หูหนวก : หากคุณมีภาวะหูหนวก (Profound deafness) เสียงที่เบาที่สุดที่สามารถได้ยินคือมากกว่า 90 dB ขึ้นไป ผู้ที่อยู่นี้สามารถเข้ารับการปลูกถ่ายคอเคลีย (ส่วนหูชั้นในรูปหอยโข่ง) ได้ และต้องมีการสื่อสารด้วยการอ่านริมฝีปากหรือใช้ภาษามือ

สาเหตุของภาวะสูญเสียการได้ยิน

ภาวะสูญเสียการได้ยินเกิดได้จากสาเหตุต่อไปนี้

  • อายุมากขึ้น : สาเหตุใหญ่ที่สุดที่ทำให้เกิดภาวะสูญเสียการได้ยิน ผู้คนส่วนมากจะเริ่มเสียความสามารถในการได้ยินเล็กน้อยตั้งแต่อายุ 40 ปี จากนั้นความบกพร่องเช่นนี้จะเริ่มมากขึ้นเมื่อคุณแก่ตัวลง เมื่อมาถึงอายุ 80 ปี ผู้คนส่วนมากจะมีปัญหาการได้ยินค่อนข้างมาก

    เมื่อการได้ยินเริ่มเสื่อมถอยลง เสียงที่มีความถี่สูงอย่างเสียงของเด็กหรือผู้หญิงก็จะยิ่งฟังได้ยากมากขึ้น และการได้ยินเสียงคำบางคำก็จะลำบากจนทำให้ผู้ป่วยฟังเสียงพูดในสถานที่ที่มีเสียงอื่นปะปนยากมากขึ้นอีก
  • อยู่ในที่ที่เสียงดัง : การได้ยินเสียงดังซ้ำๆ เป็นเวลานาน จนเซลล์เส้นขนภายในคอเคลีย (ส่วนหูชั้นในรูปหอยโข่ง) ได้รับความเสียหาย เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะสูญเสียการได้ยินได้

    คุณจะมีความเสี่ยงต่อภาวะสูญเสียการได้ยินจากเสียงมากขึ้น หากปฏิบัติดังต่อไปนี้
    • ทำงานร่วมกับเครื่องมือที่มีเสียงดัง เช่น เครื่องเจาะถนนหรือค้อนกดอากาศ
    • ทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดัง เช่น ในสถานบันเทิงยามวิกาล
    • ฟังเพลงผ่านหูฟังด้วยเสียงที่ดังมากๆ เป็นประจำ

นอกจากนี้ ภาวะสูญเสียการได้ยินยังมักจะเกิดขึ้นกะทันหันหลังฟังเสียงที่ดังเป็นพิเศษ เช่น เสียงระเบิด (acoustic trauma)

  • มีความผิดปกติทางพันธุกรรม : เป็นสาเหตุให้บางคนเกิดมาพร้อมภาวะหูหนวก หรือเริ่มหูหนวกไปตามกาลเวลา
  • ติดเชื้อไวรัสในหูชั้นใน : เช่นไวรัสคางทูม หรือโรคหัด
  • ติดเชื้อไวรัสที่เส้นประสาทรับเสียง : เช่นโรคคางทูมหรือโรคหัดเยอรมัน
  • เป็นโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน (Ménière's disease) : ทำให้มีอาการเวียนศีรษะบ้านหมุน (vertigo) สูญเสียการได้ยิน หูอื้อ และรู้สึกหูตัน
  • เป็นโรคเนื้องอกบนเส้นประสาทหู (acoustic neuroma) : ภาวะที่มีเนื้องอก (ที่ไม่ใช่เนื้อร้าย) โตบนหรือใกล้กับเส้นประสาทรับเสียง
  • เป็นโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ : เกิดการติดเชื้อที่เยื่อหุ้มรอบสมองและไขสันหลัง
  • เป็นโรคสมองอักเสบ (encephalitis) : โรคทางประสาทที่ส่งผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง (สมองและไขสันหลัง)
  • มีอาการบาดเจ็บที่ศีรษะ
  • เป็นโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง
  • หูเจริญผิดรูป
  • เป็นโรคหลอดเลือดสมอง (stroke) : หรือหลอดเลือดที่จะนำเลือดไปเลี้ยงสมองถูกตัดขาดหรืออุดตัน
  • อยู่ระหว่างการรักษาและการใช้ยาบางอย่าง เช่น การบำบัดรังสีสำหรับรักษามะเร็งโพรงจมูก การใช้ยาทางเคมีบำบัดบางชนิด หรือการใช้ยาปฏิชีวนะบางตัว เนื่องจากทำให้คอเคลียและระบบประสาทรับเสียงเสียหาย
  • เกิดภาวะการนำเสียงบกพร่อง : เกิดจากการอุดตันในหู เช่น มีขี้หูมากเกินไป มีการสะสมของของเหลวภายในหู ติดเชื้อในหู แก้วหูฉีกขาด เป็นโรคหินปูนเกาะกระดูกหู อวัยวะภายในหูบาดเจ็บ มีบางอย่างเข้าไปติดในหู

    ภาวะนำเสียงบกพร่องมักเป็นภาวะชั่วคราว และมักรักษาได้ด้วยการใช้ยาหรือผ่าตัดขนาดเล็ก

เมื่อไหร่ที่ควรไปพบแพทย์

หากมีสัญญาณแสดงให้เห็นว่าฟังไม่ถนัด หรือรู้สึกว่าหูข้างในข้างหนึ่ง หรือทั้งสองข้างไม่ได้ยินนาน 2-3 วันควรไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุดที่ทำได้

แพทย์ของคุณจะสามารถตรวจหาปัญหาต่าง ๆ และอาจส่งคุณไปพบนักโสตสัมผัสวิทยา (audiologist) หรือศัลยแพทย์ ENT เพื่อรับการทดสอบเพิ่มเติม

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*

แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท

วิธีการวินิจฉัยภาวะสูญเสียการได้ยิน

ในระหว่างการตรวจหู แพทย์จะใช้เครื่องมือที่มีไฟฉายติดอยู่ที่ปลาย (auriscope) สอดเข้าไปมองหาความผิดปรกติต่างๆ เช่น การอุดตันของขี้หู ของเหลว สิ่งแปลกปลอมต่างๆ การติดเชื้อของโพรงหู การบวมขึ้นของแก้วหู (อาการบ่งชี้ถึงการติดเชื้อในหูชั้นกลางหรือภาวะหูชั้นกลางอักเสบ) การมีของเหลวหลังแก้วหู (glue ear) แก้วหูฉีกขาด แก้วหูล้ม การมีเศษผิวหนังสะสมในหูชั้นกลาง (cholesteatoma)

แพทย์จะสอบถามว่าคุณมีความเจ็บปวดในหูหรือไม่ และคุณสังเกตเห็นภาวะสูญเสียการได้ยินครั้งแรกเมื่อไร

แพทย์อาจทำการส่งคุณไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหู จมูก และลำคอ (ENT) หรือนักโสตสัมผัสวิทยา (audiologist) เพื่อดำเนินการทดสอบการได้ยินเพิ่มเติม เพื่อช่วยชี้หาสาเหตุของภาวะสูญเสียการได้ยินของคุณ และเพื่อจัดทำแผนการรักษาที่ดีที่สุดต่อไป

การทดสอบการได้ยินที่คุณอาจได้รับมีดังต่อไปนี้:

  • การทดสอบด้วยส้อมเสียง (tuning fork test) : ส้อมเสียงคืออุปกรณ์เหล็กดัดรูปตัว Y ส้อมนี้จะเปล่งคลื่นเสียงในระดับคงที่ออกมาเมื่อถูกเคาะเบา ๆ โดยเสียงที่ออกมาสามารถใช้ทดสอบระดับการได้ยินของคุณได้

    ผู้ทดสอบจะเคาะส้มเสียงด้วยศอกหรือเข่าเพื่อให้ส้อมเขย่า ก่อนจะถือส้อมเสียงในตำแหน่งต่างๆ รอบศีรษะของคุณ

การทดสอบนี้จะช่วยชี้ชัดหาว่าคุณมีภาวะสูญเสียการได้ยินชนิดการนำเสียงบกพร่อง หรือภาวะประสาทหูเสื่อมที่หูชั้นใน หรือเส้นประสาทได้ยินทำงานผิดปรกติ

  • การตรวจการได้ยินด้วยเสียงบริสุทธ์ (pure tone audiometry) : การทดสอบการได้ยินของหูทั้งสองข้าง ด้วยการใช้เครื่องจักรที่เรียกว่า audiometer ปล่อยเสียงออกมาในระดับความดังและความถี่ที่ต่างกัน คุณจะต้องฟังเสียงเหล่านี้ผ่านหูฟัง และตอบสนองต่อเสียงที่ได้ยิน ซึ่งโดยมากใช้วิธีกดปุ่มเมื่อได้ยินเสียง
  • การตรวจการได้ยินทางกระดูก (bone conduction test) : มักดำเนินการเป็นส่วนหนึ่งของการตรวจการได้ยินด้วยเสียงบริสุทธ์ในผู้ใหญ่ วิธีการตรวจนี้จะใช้เพื่อตรวจสอบว่าคุณมีภาวะสูญเสียการได้ยินจากประสาทหูเสื่อมหรือไม่ด้วยการทดสอบว่าหูชั้นในของคุณทำงานได้ดีเพียงไหน

การทดสอบนี้จะมีการใช้แท่งยาวที่สั่นได้สัมผัสกับกระดูกมาสทอยด์ (mastoid bone) ที่อยู่หลังหู แท่งนี้จะตรวจว่าเสียงส่งผ่านกระดูกได้ดีแค่ไหน

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!

จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง

การทดสอบการได้ยินทางกระดูกจะมีความซับซ้อนมากกว่าการทดสอบด้วยส้อมเสียง และเมื่อดำเนินการร่วมกับการตรวจการได้ยินด้วยเสียงบริสุทธ์แล้ว จะทำให้สามารถชี้ชัดว่าภาวะสูญเสียการได้ยินนั้นมาจากชั้นนอกกับชั้นกลางของหู (ภาวะการนำเสียงบกพร่อง) หูชั้นใน (ภาวะประสาทหูเสื่อม) หรือทั้งสองภาวะ

การรักษาภาวะสูญเสียการได้ยิน

หากการได้ยินของคุณบกพร่อง การรักษาต่างๆ จะสามารถเพิ่มความสามารถในการได้ยินและคุณภาพชีวิตของคุณได้ ที่นิยมกันมากอย่างหนึ่งคือ การใช้เครื่องช่วยฟัง

เครื่องช่วยฟังคืออุปกรณ์ไฟฟ้าที่ประกอบด้วยไมโครโฟน ตัวขยายสัญญาณ ที่กระจายเสียง และแบตเตอรี่ อุปกรณ์นี้จะเพิ่มระดับเสียงที่ส่งเข้าหูของคุณเพื่อให้คุณได้ยินสิ่งต่างๆ ชัดเจนขึ้น

ไมโครโฟนจะจับเสียงที่ทำให้ดังขึ้นด้วยตัวขยายสัญญาณ และอุปกรณ์นี้จะติดตั้งด้วยอุปกรณ์เสริม ที่ช่วยแยกเสียงพื้นหลังออกจากเสียงที่อยู่เบื้องหน้า เช่น เสียงการจราจรกับเสียงสนทนา เป็นต้น

เครื่องช่วยฟังสมัยใหม่จะมีขนาดเล็กกะทัดรัดอย่างมาก และสามารถสวมใส่เข้าหูของคุณได้เลย

อย่างไรก็ตาม เครื่องช่วยฟังเพียงเพิ่มการได้ยินขึ้น แต่ไม่ได้ช่วยฟื้นฟูความสามารถในการได้ยินให้กลับมา อุปกรณ์เหล่านี้เหมาะกับผู้คนส่วนมาก แต่อาจไม่มีประสิทธิภาพสำหรับผู้ที่มีความบกพร่องทางการได้ยินแบบทั้งหมด หรือมีภาวะสุขภาพบางอย่างอยู่ แพทย์และนักโสตสัมผัสวิทยาจะสามารถให้คำแนะนำเกี่ยวกับอุปกรณ์ช่วยฟังที่เหมาะสมกับคุณที่สุดได้

หากแพทย์แนะนำให้คุณใช้เครื่องช่วยฟัง นักโสตสัมผัสวิทยาจะจำลองรูปร่างหูของคุณเพื่อหาอุปกรณ์ที่พอดีกับหูของคุณ อีกทั้งยังมีการปรับอุปกรณ์ให้เหมาะสมกับระดับความบกพร่องทางการได้ยินของคุณ พร้อมกับสอนวิธีใช้และการรักษาอุปกรณ์ให้

หลังจากเริ่มใช้เครื่องช่วยฟัง คุณควรเข้าพบแพทย์เพื่อติดตามผลภายในอีก 12 สัปดาห์

หากคุณมีปัญหาเกี่ยวกับการใช้เครื่องช่วยฟัง เช่น ได้ยินเสียงเพี้ยน หรือมีการติดเชื้อในหูซ้ำซาก คุณควรเข้ารับการรักษาวิธีอื่นแทน

เครื่องช่วยฟังมีหลายประเภท ดังนี้

  • เครื่องช่วยฟังชนิด Behind-the-ear (BTE) : BTE คืออุปกรณ์ช่วยฟังที่มีพิมพ์หู (earmould) โยงเข้าไปในหู โดยสายอุปกรณ์จะพาดบนใบหูและมีอุปกรณ์อยู่ข้างหลังใบหู

อุปกรณ์ BTE บางประเภทจะมีไมโครโฟนสองตัวเพื่อให้คุณฟังเสียงในระดับใกล้เคียงกับความเป็นจริง หรือเพื่อเน้นเสียงที่มาจากทิศทางใดทิศทางหนึ่ง ซึ่งนับว่ามีประโยชน์อย่างมากเมื่อผู้ใช้ต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เสียงดัง

ส่วนเครื่องช่วยฟัง BTE แบบเปิด จะเหมาะกับผู้ที่มีภาวะสูญเสียการได้ยินชนิดอ่อนถึงปานกลาง โดยจะมีการท่อสอดเข้าในหูแทนที่จะเป็นพิมพ์หู

  • เครื่องช่วยฟังชนิด Receiver in-the-ear (RITE) : RITE เป็นอุปกรณ์ช่วยฟังที่คล้ายกับ BTE แต่ส่วนที่อยู่หลังใบหูจะเชื่อมต่อกับสายไปยังเครื่องรับ (ตัวเพิ่มความดัง) ที่อยู่ภายในโพรงหู ดังนั้นอุปกรณ์ RITE จึงมักจะมองเห็นได้ยากกว่า BTE
  • เครื่องช่วยฟังชนิด In-the-ear (ITE) : ITE จะมีรูปร่างคล้ายพิมพ์หู โดยอุปกรณ์จะปิดพื้นที่ภายในโพรงหู และปิดช่องเปิดของโพรงหู ส่วนที่ทำงานของอุปกรณ์นี้จะอยู่ภายในปลอก
  • เครื่องช่วยฟังชนิด In-the-canal (ITC) : ITC จะปิดส่วนนอกของโพรงหู และมีความเด่นชัดมาก
  • เครื่องช่วยฟังชนิด Completely in-the-canal (CIC) : CIC มีขนาดเล็ก และมองเห็นได้ยากกว่า ITE หรือ ITC อย่างไรก็ตาม อุปกรณ์ประเภทนี้มักไม่ถูกแนะนำแก่คนที่มีภาวะสูญเสียการได้ยินรุนแรง หรือมีภาวะติดเชื้อในหูบ่อยครั้ง
  • เครื่องช่วยฟังชนิด Body-worn (BW) : BW จะมีกล่องขนาดเล็กที่มีไมโครโฟนอยู่ กล่องนี้จะถูกเหน็บเข้ากับเสื้อผ้า หรือให้คุณยัดใส่กระเป๋าเสื้อได้ มีสายเชื่อมจากกล่องไปยังหูฟัง ทำหน้าที่ส่งเสียงเข้าไปในหูของคุณ

เครื่องช่วยฟังประเภทนี้เป็นตัวเลือกสำหรับผู้ต้องการเครื่องช่วยฟังที่มีกำลังสูง

  • เครื่องช่วยฟังชนิด CROS/BiCROS : ตัว CROS คืออุปกรณ์แนะนำสำหรับผู้ที่มีหูใช้การได้เพียงข้างเดียว โดยอุปกรณ์จะจับเสียงที่อยู่ในทิศหูที่ไม่ได้ยิน แล้วส่งเสียงเข้าไปใยหูที่ยังใช้ได้ โดยมากเป็นการส่งเสียงผ่านสายไฟ แต่ ณ ขณะนี้ก็มีอุปกรณ์แบบไร้สายให้เลือกใช้แล้ว

ส่วน BiCROS จะมีการทำงานคล้ายกับ CROS แต่จะขยายเสียงที่ไปยังหูที่ใช้การได้ อุปกรณ์ประเภทนี้เหมาะกับผู้ที่หูใช้งานไม่ได้หนึ่งข้าง ส่วนอีกข้างสูญเสียการได้ยินไปบางส่วน

  • เครื่องช่วยฟังแบบเข้ากระดูก : เครื่องช่วยฟังแบบเข้ากระดูก (Bone conduction hearing aids) เป็นอุปกรณ์แนะนำสำหรับผู้มีภาวะนำเสียงบกพร่อง หรือแบบผสม ที่ไม่สามารถใช้เครื่องช่วยฟังตามปกติได้ โดยอุปกรณ์ประเภทนี้จะใช้การสั่น ตอบสนองต่อเสียงที่เข้าไปในไมโครโฟน

อุปกรณ์ประเภทนี้ยังสามารถใช้ช่วยผู้ที่มีภาวะหูตึงข้างเดียว หรือมีหูข้างหนึ่งสูญเสียการได้ยินแบบอ่อน

ส่วนของเครื่องช่วยฟังที่สั่นไว้ที่กระดูกหลังหู จะถูกตรึงอยู่กับที่ด้วยสายรัดศีรษะ การสั่นไหวจะถูกส่งผ่านกระดูกมาสตอยด์ไปยังคอเคลีย และเปลี่ยนให้เป็นสัญญาณเสียงตามปรกติ อุปกรณ์นี้มีประสิทธิภาพมาก แต่ก็อาจสร้างความไม่สบายเนื้อสบายตัวให้ผู้ใช้ได้ หากใช้เป็นเวลานาน

  • เครื่องช่วยฟังชนิดฝังกระดูก (BAHA) : เครื่องช่วยฟังแบบฝังเข้ากระดูก (Bone anchored hearing aid (BAHA)) จะส่งเสียงไปยังคอเคลียโดยตรง ด้วยการสั่นเข้าที่กระดูกมาสตอยด์ การฝังอุปกรณ์จะต้องดำเนินผ่านการผ่าตัดขนาดเล็ก เพื่อติดหัวเกลียวเข้ากับกะโหลก ให้สามารถติดหรือถอดเครื่องช่วยฟังได้ โดยผู้ใช้อุปกรณ์นี้จะต้องถอดมันออกเวลานอนหลับหรือสัมผัสน้ำ

บางคนอาจใช้อุปกรณ์ฝังกระดูกแบบใหม่ได้ ซึ่งจะสามารถติดอุปกรณ์ได้ด้วยแม่เหล็กที่ศีรษะ แทนที่จะเป็นตัวเชื่อมฝังที่โผล่ออกมาจากผิวหนัง

  • การฝังหูชั้นกลาง : การฝังหูชั้นกลางคือหัตถกรรมฝังอุปกรณ์ติดเข้ากับกระดูกที่ใช้ฟังเสียง เพื่อทำให้กระดูกสั่นไหว เทคนิคนี้เหมาะกับผู้ที่ไม่สามารถใช้เครื่องช่วยฟังได้ และมีภาวะสูญเสียการได้ยินในระดับที่ BAHA ไม่สามารถช่วยได้
  • เครื่องช่วยฟังแบบใช้แล้วทิ้ง : อุปกรณ์ช่วยฟังแบบใช้แล้วทิ้ง (Disposable hearing aids) มักนำมาใช้กับผู้ที่มีภาวะสูญเสียการได้ยินชนิดอ่อนถึงปานกลาง

แบตเตอรีภายในอุปกรณ์มักจะอยู่ได้ประมาณ 12 สัปดาห์ ซึ่งหลังจากพ้นช่วงเวลาดังกล่าวแล้ว จะต้องทำการเปลี่ยนอุปกรณ์ทั้งหมด ทำให้อุปกรณ์ช่วยฟังแบบใช้แล้วทิ้งมักจะมีราคาแพงมาก สำหรับการรักษาระยะยาว

  • การฝังคอเคลีย : การฝังคอเคลียคือการติดตั้งอุปกรณ์ช่วยฟังขนาดเล็กใต้ผิวหนังข้างหลังใบหูด้วยการผ่าตัด

อุปกรณ์จะมีตัวรับเสียงทั้งส่วนภายนอกและภายในร่างกาย รวมไปถึงคอยล์รับสัญญาณ ชุดอุปกรณ์ไฟฟ้า และสายยาวที่มีอิเล็กโทรดอยู่

ตัวรับภายนอกจะทำหน้าที่จับเสียง แล้วเปลี่ยนให้เป็นสัญญาณส่งผ่านผิวหนังไปยังตัวรับที่อยู่ภายใน ซึ่งจะทำการส่งสัญญาณด้วยชุดอิเล็กโทรดไปยังส่วนของหูชั้นในที่เรียกว่าคอเคลีย (cochlea) จากนั้นสัญญาณจะถูกส่งไปยังสมองและเส้นประสาทรับเสียงตามปรกติ ดังนั้นการฝังคอเคลียจึงเหมาะกับผู้ที่เส้นประสาทรับเสียงทำงานได้ตามปกติเท่านั้น

การฝังคอเคลียยังเป็นการรักษาที่มักแนะนำให้แก่ผู้ใหญ่หรือเด็กที่มีภาวะประสาทหูเสื่อมรุนแรงทั้งสองข้าง จนไม่สามารถใช้เครื่องช่วยฟังได้

สำหรับเด็ก มักจะทำการฝังอุปกรณ์ที่หูทั้งสองข้าง แต่สำหรับผู้ใหญ่ มักจะทำเพียงข้างเดียว โดยก่อนแพทย์จะแนะนำการฝังคอเคลีย ผู้ป่วยจะต้องได้รับการประเมินว่าวิธีการนี้จะช่วยเพิ่มการได้ยินจริง ซึ่งจะมีการประเมินความพิการและปัญหาการสื่อสารของคุณร่วมด้วย

มีหลักฐานว่า ผู้ป่วยที่เข้ารับการฝังคอเคลียจะมีความเสี่ยงต่อโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบมากขึ้น โดยเฉพาะหากพวกเขาไม่ได้มีภูมิต้านทานโรคนี้

  • การฝังประสาทหูเทียมที่ก้านสมอง : การฝังประสาทหูเทียมที่ก้านสมอง (auditory brainstem implant (ABI)) เป็นการรักษาที่ผู้เชี่ยวชาญมักแนะนำแก่ผู้ป่วยที่มีภาวะสูญเสียการได้ยินชนิดรุนแรง และมีปัญหาที่เส้นประสาทส่งเสียงไปยังสมอง

โดย ABI คืออุปกรณ์ไฟฟ้าที่ประกอบด้วย อิเล็กโทรดที่ฝังเข้าไปยังส่วนของสมองที่ทำงานด้านการประมวลเสียง (ที่ก้านสมอง) อุปกรณ์รับที่ฝังอยู่ใต้ผิวหนังข้างหลังหู แบะตัวประมวลเสียงขนาดเล็กนอกหู

เมื่อไมโครโฟนที่ตัวประมวลเสียงดักจับเสียงได้ อุปกรณ์จะเปลี่ยนเสียงให้เป็นสัญญาณไฟฟ้า และส่งไปยังสมองผ่านตัวรับและอิเล็กโทรด

ABI ไม่อาจทำให้การได้ยินกลับมาอย่างสมบูรณ์ แต่อาจช่วยฟื้นฟูการได้ยินขึ้นบ้าง และสามารถทำให้การอ่านริมฝีปากเป็นไปได้ง่ายขึ้น อีกทั้งโดยมากแล้ว การรักษานี้มักจะใช้กับภาวะสูญเสียการได้ยินที่เกี่ยวข้องกับโรคท้าวแสนปมชนิด 2 (neurofibromatosis type 2 (NF2))

การป้องกันการเกิดภาวะสูญเสียการได้ยิน

หูเป็นอวัยวะบอบบาง และสามารถได้รับความเสียหายได้หลายทาง ดังนั้นจึงไม่มีวิธีการที่ป้องกันภาวะสูญเสียการได้ยินอย่างสมบูรณ์แบบ ความเสี่ยงที่การได้ยินของคุณจะเสียหายจากเสียงดัง จะขึ้นอยู่กับระดับความดังของเสียง และระยะเวลาที่คุณต้องรับฟัง โดยผู้เชี่ยวชาญต่างยอมรับว่าการฟังเสียงที่ 85 dB ขึ้นไป (เช่นเสียงการจราจรที่แออัดคับคั่งหรือเครื่องตัดหญ้า) เป็นเวลานานๆ ก็สามารถทำให้เกิดภาวะนี้ได้

อย่างไรก็ตาม มีเพียงหลักปฏิบัติเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินในระยะยาว ได้แก่

  • ไม่เปิดเพลงหรือโทรทัศน์เสียงดังเกินไป โดยเฉพาะหากมีเด็กเล็กในบ้าน เพราะว่าหูของเด็กจะมีความอ่อนไหวมากกว่าหูผู้ใหญ่ หากคุณไม่สามารถสื่อสารกับคนอื่นที่อยู่ในระยะมากกว่าสองเมตรได้ คุณควรลดเสียงอุปกรณ์ไฟฟ้าเหล่านี้ลง อีกทั้งหลังจากฟังเพลงควรพยายามสังเกตว่าตนเองมีการได้ยินลดลงหรือได้ยินเสียงดังในหูหรือไม่ ซึ่งหากมี แสดงว่าคุณฟังเสียงดังเกินไป
  • ใช้อุปกรณ์ป้องกันหูในงานแสดงเพลงหรือสถานที่ที่มีเสียงดัง
  • ไม่นำสิ่งใดแหย่เข้าไปในหูของตนเองหรือของเด็ก ซึ่งรวมถึงก้านสำลี กระดาษชำระ และนิ้วมือ
  • เฝ้าระวังอาการที่เป็นสาเหตุทั่วไปของภาวะสูญเสียการได้ยิน เช่น การติดเชื้อในหูและโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน
  • ไปพบแพทย์เมื่อเกิดสัญญาณของภาวะติดเชื้อในหู เช่น มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ ปวดหูรุนแรง มีของเสียออกจากหู หรือมีปัญหาเกี่ยวกับการได้ยิน

19 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่
Hearing loss. World Health Organization (WHO). (https://www.who.int/health-topics/hearing-loss)

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)

บทความต่อไป