ใคร ๆ ก็อยากไปท่องโลกกว้างกันบ้างสักครั้งในชีวิต และเมื่อมีโอกาสได้เปิดหูเปิดตาแล้ว ก็คงมีไม่น้อยที่รู้สึกว่า “ครั้งเดียวไม่เคยพอ” (ฮ่า) ซึ่งประเทศที่เป็นที่ใฝ่ฝันของนักท่องเที่ยวชาวไทย คงมีประเทศญี่ปุ่นอยู่ในอันดับต้น ๆ เป็นแน่แท้
หากแม้เลือกได้ เราทุกคนก็คงอยากไปเที่ยวแบบสบายกายสบายใจ ไม่มีโรคภัยมาเบียดเบียนนะคะ แต่ในบางครั้งที่เลือกไม่ได้ จะด้วยเหตุที่โรคประจำตัวไม่ใช่ไข้หวัดที่จะหายเองได้ในไม่กี่วัน หรือเพราะมีการเจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ ขึ้นมาอย่างกะทันหัน จะให้ล้มเลิกแผนท่องเที่ยวที่ตั้งหน้าตั้งตารอมานาน ก็คงทำใจลำบาก
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
แต่การที่จะออกไปแตะขอบฟ้า แล้วต้องหอบหิ้วยาติดตัวไปด้วย มันจะมีปัญหามั้ยนะ? จะถูกจับติดคุกติดตะรางอยู่ต่างแดนหรือเปล่า?? หรือจะลองเสี่ยงวัดดวงกันไปให้ใจระทึก ตามประสาผู้รักการผจญภัย???
อย่ากระนั้นเลยค่ะ เพื่อไม่ให้การเดินทาง “จากไทย ไปญี่ปุ่น” กลายเป็น “จากไทย ไปคุกญี่ปุ่น” เรามาดูแนวทางปฏิบัติในการนำยาเข้าประเทศญี่ปุ่นเพื่อใช้ส่วนตัวกันดีกว่านะคะ
แนวทางปฏิบัติในการนำยาเข้าประเทศญี่ปุ่น
การแบ่งกลุ่มยาบางอย่างอาจแตกต่างจากในบ้านเรา ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละที่ ไม่มีผิดหรือถูก แต่ในเมื่อจะเข้าไปบ้านเค้า ก็ต้องว่ากันตามกฎเกณฑ์ของเค้านะคะ
สำหรับยากลุ่มแรก ก็คือ ยาที่มีฤทธิ์กระตุ้นประสาทส่วนกลาง ที่รู้จักกันดีก็คือ Methamphetamine หรือยาบ้าและยาไอซ์ ซึ่งคงไม่ต้องไปคิดยากให้มากความว่าจะพกติดตัวไปญี่ปุ่นได้หรือไม่ เพราะต่อให้อยู่ในประเทศไทย ถ้ามีไว้ในครอบครองก็ต้องติดคุกเหมือนกันนั่นแหละค่ะ
ที่ต้องมาระวังกันหน่อยก็คือตัวยา Pseudoephedrine และ Dexamphetamine ค่ะ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
มาดู Pseudoephedrine กันก่อน ยาตัวนี้ใช้รักษาอาการคัดจมูก และอาการแน่นในหูหรือหูอื้อ จึงอาจพบได้ในยาสูตรแก้หวัดคัดจมูก แต่เนื่องจากสูตรโครงสร้างของยาที่คล้ายกับ Methamphetamine ทำให้มีการลักลอบนำไปเป็นสารตั้งต้นในการผลิตยาบ้า จึงได้มีการควบคุมการใช้อย่างเข้มงวดมากขึ้น โดยในบ้านเราก็มีการเปลี่ยนจากการเป็นยาในกลุ่ม “ยาอันตราย” ที่สามารถหาซื้อตามร้านยาได้ ไปเป็นยาในกลุ่มวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภทที่ 2 ซึ่งจะมีใช้เฉพาะในโรงพยาบาล และอยู่ภายใต้การควบคุมกำกับอย่างเคร่งครัดเท่านั้น
ใครที่ใช้ยาแก้คัดจมูกหรือรักษาอาการหูอื้อที่รับมาจากโรงพยาบาล หากจะพกยาไปญี่ปุ่นด้วย ต้องดูที่ฉลากยาหน่อยนะคะว่าเป็นตัวยา Pseudoephedrine หรือไม่ เพราะถ้าใช่... ก็ไม่สามารถนำติดตัวไปได้ค่ะ
ส่วน Dexamphetamine เป็นยาที่ใช้รักษาโรคสมาธิสั้นและโรคลมหลับ แม้จะมีความจำเป็นต้องใช้ แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเข้าประเทศญี่ปุ่นได้ ผู้ป่วยที่จำเป็นต้องใช้ยาดังกล่าว จึงต้องปรึกษาแพทย์เพื่อใช้ยาอื่นทดแทนในระหว่างที่เดินทางไปเที่ยวในญี่ปุ่นนะคะ
สำหรับยากลุ่มที่ 2 ก็คือ ยาเสพติดให้โทษที่ใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ เอ... ดูย้อนแย้งพิกลนะคะ (ฮ่า)
ผู้ป่วยที่จำเป็นต้องใช้ยาในกลุ่มนี้เพื่อรักษาอาการปวดที่รุนแรง สามารถพกยาติดตัวไปได้ค่ะ แต่ต้องยื่นขอเอกสารรับรองสารเสพติด (Narcotic certificate)
โดยใช้...
- Application form (Import) สำหรับการเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่น
- Application form (Export) สำหรับการเดินทางออกจากประเทศญี่ปุ่น
- สำเนาใบสั่งยาหรือคำสั่งใช้ยาที่มีลายเซ็นของแพทย์ หรือใบรับรองแพทย์ (ภาษาอังกฤษ) ที่ระบุรายละเอียดของโรคที่จำเป็นต้องใช้ยาดังกล่าว ชื่อยา ความแรง และจำนวนที่สั่งจ่าย
- เอกสารระบุวันที่และสถานที่มาถึง เช่น สำเนาตั๋วสายการบินหรือการเดินทางของเที่ยวบิน
ส่งทางไปรษณีย์ หรือโทรเลข (ในกรณีที่เร่งด่วน) ล่วงหน้าอย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนเดินทาง ไปที่ฝ่ายควบคุมสารเสพติด (Narcotics Control Department) ในพื้นที่รับผิดชอบ โดยดูตามที่ตั้งของสนามบิน ในกรณีที่เดินทางเข้าประเทศค่ะ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
และเมื่อผ่านการอนุมัติแล้ว ให้เก็บเอกสาร (หรือสำเนาเอกสาร) พร้อมกับยา ไว้แสดงต่อเจ้าหน้าที่ศุลกากรนะคะ
สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.incb.org/documents...
สำหรับยากลุ่มที่ 3 ก็คือ วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ที่คุ้นเคยกันหน่อยก็คือพวกยาคลายเครียดและยานอนหลับนั่นเอง
ยาในกลุ่มนี้สามารถนำเข้าประเทศญี่ปุ่นได้ค่ะ และหากไม่เกินปริมาณที่กำหนดก็ไม่จำเป็นต้องยื่นขอเอกสารอะไรเพิ่มเติม (ดูรายละเอียดของยาในกลุ่มนี้ และปริมาณที่จำกัด ในเว็บไซต์อ้างอิงด้านบนได้นะคะ ในหัวข้อ IMPORT / EXPORT PSYCHOTROPICS BY CARRYING)
แต่ไม่ว่าจะต้องมีการขออนุมัติหรือไม่ก็ตาม ยาทุกอย่างที่พกไปด้วยก็ควรมีฉลากระบุชัดเจนนะคะ หากบรรจุอยู่ในแผงก็ไม่ควรแกะเม็ดยาออกมาหมด เพื่อจะได้เห็นรายละเอียดโดยง่าย เพื่อความสะดวกในกรณีที่มีการตรวจสอบค่ะ
หากต้องการนำเข้าไปในปริมาณเกินกว่าที่กำหนดไว้ หรือยาที่ใช้นั้นอยู่ในรูปของยาฉีด จะต้องยื่นขอเอกสารรับรองการนำเข้าทั่วไป (General Import Certificate หรือ Yakkan Shoumei)
โดยใช้...
- Import Report of Medication (2 ชุด)
- Explanation of Product (1 ชุด/1 รายการยา)
- สำเนาใบสั่งยาหรือคำสั่งใช้ยาที่มีลายเซ็นของแพทย์ หรือใบรับรองแพทย์ (ภาษาอังกฤษ) ที่ระบุรายละเอียดของโรคที่จำเป็นต้องใช้ยาดังกล่าว ชื่อยา ความแรง และจำนวนที่สั่งจ่าย
- เอกสารระบุวันที่และสถานที่มาถึง เช่น สำเนาตั๋วสายการบินหรือการเดินทางของเที่ยวบิน
ส่งทางไปรษณีย์ ล่วงหน้าอย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนเดินทาง ไปที่สำนักงานสาธารณสุขและสวัสดิการของแต่ละภูมิภาค (Regional Bureau of Health and Welfare) ในพื้นที่รับผิดชอบตามที่ตั้งของสนามบินที่จะใช้เดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่น
และเมื่อผ่านการอนุมัติแล้ว ให้เก็บเอกสาร (หรือสำเนาเอกสาร) พร้อมกับยา ไว้แสดงต่อเจ้าหน้าที่ศุลกากรค่ะ
สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.mhlw.go.jp/english/...
มาถึงกลุ่มสุดท้าย ก็คือ ยาทั่วไป บ้างนะคะ
มีการแบ่งย่อยเป็น 2 ประเภท ก็คือ ยาที่จ่ายได้โดยไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์ กับยาที่จ่ายตามใบสั่งแพทย์ ซึ่งจะจำกัดปริมาณการพกพาแตกต่างกันค่ะ โดยถ้าเป็นยาที่ต้องจ่ายตามใบสั่งแพทย์ จะจำกัดให้นำเข้าไม่เกินอัตราการใช้ใน 1 เดือน และเพิ่มเป็น 2 เดือนหากเป็นยาที่จ่ายได้โดยไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์ค่ะ
แต่หลักเกณฑ์ในการพิจารณาว่ายาแต่ละชนิดอยู่ในกลุ่มใด จะแตกต่างจากในบ้านเรานะคะ เพราะฉะนั้น ยาที่สามารถซื้อจากร้านยาในประเทศไทยโดยไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์ ยกตัวอย่างเช่น ยาคุมกำเนิด ทางญี่ปุ่นถือเป็นยาที่ต้องจ่ายตามใบสั่งแพทย์ จึงจำกัดปริมาณไว้ไม่เกิน 1 แผง
ดังนั้น ในกรณีที่ไม่มั่นใจว่ายาที่ต้องการนำไปด้วย จัดอยู่ในประเภทใด แนะนำให้พกพาไม่เกินปริมาณการใช้ใน 1 เดือนไว้ก่อนจะดีที่สุดนะคะ เช่น ยาเม็ดบรรเทาปวดลดไข้ ไม่เกิน 30 เม็ด, ยาพ่นขยายหลอดลมแบบพกพา 1 เครื่อง, ปากกาฉีดอินซูลิน หรือปากกาฉีดยาแก้แพ้ฉุกเฉิน 1 – 2 อัน
ส่วนยาใช้ภายนอกและเวชสำอาง จำกัดปริมาณไม่เกิน 24 ชิ้นค่ะ
อย่างไรก็ตาม หากมีความจำเป็นที่จะต้องนำยาทั่วไปติดตัวไปมากกว่าปริมาณที่กำหนด ก็สามารถทำได้ โดยยื่นขอเอกสารรับรองการนำเข้าทั่วไป (General Import Certificate หรือ Yakkan Shoumei) เช่นเดียวกับในกรณีของวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทที่กล่าวไปแล้วข้างต้นค่ะ
ส่วนเฮโรอีน, โคเคน, ยาอี, ฝิ่น, กัญชา ที่ผิดกฎหมายในบ้านเรา ก็ถือเป็นสิ่งผิดกฎหมายในญี่ปุ่นเช่นกัน และแม้ว่ากัญชาอาจใช้รักษาโรคได้อย่างถูกกฎหมายในบางประเทศก็ตาม แต่ก็ยังเป็นสิ่งที่ต้องห้ามในประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่น จึงมีไว้ในครอบครองไม่ได้ ไม่ถูกจับตั้งแต่ต้นทางที่บ้านเรา ก็ไปถูกจับที่ปลายทางบ้านเค้าอยู่ดีค่ะ
แต่ถ้าอยากหลีกหนีความจำเจ จะเปลี่ยนบรรยากาศจากการรับประทานข้าวผัดและโอเลี้ยงในห้องขังบ้านเรา ไปลองข้าวปั้นและชาเขียวบ้านเค้าบ้าง ก็แล้วแต่นะคะ ...เอาที่สบายใจเลย (ฮ่า)