นอกจากการใช้เทคโนโลยีทางห้องปฏิบัติการต่างๆ ช่วยทำให้คู่สมรสที่มีบุตรยากมีบุตรได้ง่ายขึ้น การอุ้มบุญ ก็ถือเป็นอีกอย่างเลือกหนึ่ง แต่เนื่องจากเป็นการแก้ปัญหามีบุตรยากด้วยการให้ผู้อื่นนอกเหนือจากคู่สมรสเป็นคนตั้งครรภ์แทน ดังนั้นจึงต้องมีเงื่อนไขมากมายประกอบ
การอุ้มบุญคืออะไร?
การอุ้มบุญ หมายถึงการใช้มดลูกของหญิงอื่นเพื่อช่วยตั้งครรภ์แทน ใช้ในกรณีผู้ที่ประสงค์จะมีบุตร แต่ไม่สามารถตั้งครรภ์ด้วยตัวเองได้ อาจเกิดจากการมีภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายต่อสภาพร่างกายและมดลูก ไม่เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตของตัวอ่อนทารก ทั้งนี้การทำอุ้มบุญจะต้องเป็นทางเลือกสุดท้าย เพราะทางการแพทย์นั้นจะแนะนำให้มีบุตรได้ด้วยตนเองก่อนจนสุดความสามารถ หากไม่สามารถตั้งครรภ์ด้วยตัวเองได้แล้วจริงๆ จึงจะลือกใช้วิธีการนี้
ตรวจภาวะมีบุตรยากวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 392 บาท ลดสูงสุด 63%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
คุณสมบัติของแม่อุ้มบุญ
ผู้จะทำหน้าที่ตั้งครรภ์แทนผู้ที่ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ หรือที่เรียกว่า “แม่อุ้มบุญ” จะต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
- เพศหญิง สัญชาติไทย อายุระหว่าง 20-35 ปี จะต้องเป็นญาติกับคู่สามีหรือภรรยาเท่านั้น ห้ามเป็นบุพการีหรือผู้สืบสันดาน หากไม่สามารถหาแม่อุ้มบุญตามคุณสมบัติดังกล่าวได้ ต้องขออนุญาตจากแพทยสภาเป็นกรณีพิเศษ
- มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัวหรือภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายต่อการตั้งครรภ์
- ต้องเคยผ่านการมีบุตรมาก่อน และหากมีสามีที่ชอบด้วยกฏหมายหรืออยู่กินกับชายฉันสามีภริยา จะต้องได้รับความยินยอมจากบุคคลดังกล่าวด้วย
การอุ้มบุญ 2 ประเภท
- การอุ้มบุญแท้ คือการนำเชื้ออสุจิของชายที่ต้องการมีบุตร มาผสมกับไข่ของแม่ผู้ที่อุ้มบุญ และฉีดฝังในมดลูกของแม่อุ้มบุญ ซึ่งวิธีนี้จะไม่มีกระบวนการใดที่เกี่ยวข้องกันทางชีวภาพกับภรรยาของฝ่ายชาย จึงเรียกว่าอุ้มบุญแท้ เพราะใช้ทั้งไข่ของแม่อุ้มบุญ และใช้มดลูกของแม่อุ้มบุญเป็นที่ฝังตัวอ่อนทารกนั่นเอง ทั้งนี้ การอุ้มบุญแท้ตามกฏหมายของประเทศไทยจะขัดกับ พรบ. คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 มาตรา 22 กล่าวคือ ห้ามใช้ไข่ของหญิงตั้งครรภ์แทน หากไม่สามารถใช้อสุจิหรือไข่จากคู่สมรสได้ จะต้องใช้อสุจิกับไข่ของผู้อื่น จึงไม่สามารถอุ้มบุญวิธีนี้ได้
- การอุ้มบุญเทียม คือการใช้เชื้ออสุจิและไข่ของพ่อแม่ที่แท้จริงมาผสมกันภายนอก จากนั้นค่อยฉีดไข่ที่ได้รับการผสมเข้าไปในมดลูกของแม่อุ้มบุญ ทารกจะไม่มีความเกี่ยวข้องทางพันธุ์กรรมใดๆ กับแม่อุ้มบุญเลย เพราะแม่อุ้มบุญทำหน้าที่เพียงให้ยืมมดลูกเพื่อทำหน้าที่ตั้งครรภ์แทนเท่านั้น วิธีนี้เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมากกว่าวิธีแรก เนื่องจากทารกที่คลอดออกมาจะมีลักษณะหน้าตาภายนอกเหมือนพ่อแม่ทุกอย่าง และคู่สามีภรรยามีส่วนร่วมในการสร้างชีวิตทั้งสองฝ่าย ถึงแม้ว่าภรรยาไม่ได้อุ้มท้องก็ตาม
ขั้นตอนการอุ้มบุญ
จะคล้ายกับการทำเด็กหลอดแก้ว คือการนำเชื้ออสุจิของฝ่ายชายและนำไข่ของฝ่ายหญิง ที่เป็นคู่สมรสกันมาผสมกันภายนอก จากนั้นจึงจะฉีดไข่ที่ได้รับการผสมแล้วเข้าไปฝังตัวในมดลูกของผู้ที่รับฝากครรรภ์ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่าแม่อุ้มบุญ
ประเทศไทยให้อุ้มบุญอย่างถูกกฎหมายได้หรือยัง?
การอุ้มบุญทำได้อย่างถูกกฎหมาย แต่ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของแพทยสภา เช่น ต้องทำให้คู่สมรสตามกฏหมายที่มีความจำเป็นเท่านั้น การอุ้มบุญต้องทำด้วยความสมัครใจ แม่อุ้มบุญก็ต้องเป็นเป็นญาติร่วมสายเลือดของคู่สามีหรือภรรยาที่ต้องการมีบุตร และห้ามใช้การขายไข่หรือสเปิร์มอย่างเด็ดขาด
ทั้งนี้ปัจจุบันความก้าวหน้าทางวิยาการและเทคโนโลยีทางการแพทย์ก้าวหน้าอย่างมาก ทั้งเรื่องของอุปกรณ์และขั้นตอนการรักษาโรคต่างๆ รวมไปถึงวิวัฒนาการทางการแพทย์ที่มีการพัฒนาและทันสมัยมากขึ้น ช่วยเรื่องของภาวะการมีบุตรยากมีหลากหลายวิธี อาจไม่จำเป็นต้องใช้วิธีอุ้มบุญก็ได้
อ่านเพิ่มเติม: เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ IUI / IVF / ICSI / IMSI
ธุรกิจอุ้มบุญ การแพทย์พาณิชย์ และความเสี่ยงต่อสุขภาพ
หญิงไทยจำนวนมากตัดสินใจอุ้มบุญให้คู่สมรสต่างชาติและคู่รักร่วมเพศที่ต้องการมีบุตร ภายใต้การว่าจ้างและการดูแลของนายหน้าตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ไปจนถึงการคลอดทารก หากทารกมีสุขภาพแข็งแรงดีหรือเป็นแฝด แม่อุ้มบุญจะได้รับค่าจ้างเพิ่ม ส่วนใหญ่การอุ้มบุญเชิงพาณิชย์เหล่านี้มักมีความเสี่ยงต่อสุขภาพมาก เนื่องจากไม่ต้องไปพบแพทย์ สามารถนำสเปิร์มฉีดในรังไข่ของแม่อุ้มบุญได้เลย
การกระทำดังกล่าวตามกฏหมายถือว่าไม่มีความผิด เนื่องจากเป็นความสมยอมของทั้งผู้จ้าง (พ่อแม่ตัวจริง) และผู้ถูกจ้าง (แม่อุ้มบุญ) แต่จะมีความผิดเรื่องของจริยธรรมทางการแพทย์ ตามระเบียบว่าด้วยการทำอุ้มบุญ