กฎใหม่ 2018! ... 5 โรคที่ห้ามขับรถ

เผยแพร่ครั้งแรก 15 เม.ย. 2018 อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 2020 เวลาอ่านประมาณ 2 นาที
กฎใหม่ 2018! ... 5 โรคที่ห้ามขับรถ

ความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนเป็นสิ่งที่เราต้องคำนึงถึงอยู่เสมอ เพราะหากไม่ระมัดระวังให้ดี ก็อาจเกิดอันตรายถึงขั้นสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน ทั้งกับตัวผู้ขับขี่เองและผู้ใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย นอกจากความไม่ประมาทแล้ว เรื่องสุขภาพกายและสุขภาพจิตของผู้ขับขี่ก็เป็นสิ่งสำคัญมาก ในการทำใบอนุญาตขับขี่ จึงต้องมีการตรวจสุขภาพและขอใบรับรองแพทย์ก่อน โดยก่อนหน้านี้มีข้อกำหนดไว้ว่าห้ามผู้ที่ป่วยเป็นโรคเท้าช้าง วัณโรค โรคเรื้อน โรคพิษสุราเรื้อรัง และติดยาเสพติดให้โทษ ทำใบอนุญาตขับขี่ รวมถึงผู้มีความผิดปกติของตา เช่น พิการทางสายตา มีต้อหิน ต้อกระจก เป็นตาบอดสี ก็ถูกห้ามไม่ให้ขับขี่รถด้วย

เมื่อเร็วๆ นี้มีกฎหมายใหม่ที่จะมีผลบังคับใช้ภายในปี 2561 นี้ โดยกำหนด 5 โรคเพิ่มเติม ที่ห้ามขับขี่ยานพาหนะ และหากพบภายหลังว่าป่วยเป็นโรคเหล่านี้ ก็สามารถเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ได้ โรคดังกล่าว ได้แก่

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*

แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท

1. โรคเบาหวานที่มีอาการรุนแรง

ผู้ป่วยเบาหวานที่ต้องรับอินซูลินเป็นประจำ และควบคุมอาการไม่ได้ อาจเกิดน้ำตาลในเลือดลดลงเฉียบพลัน จนวูบหมดสติขณะขับขี่ และเกิดอุบัติเหตุได้

2. โรคลมชัก

ผู้ป่วยโรคลมชักเมื่ออาการกำเริบ อาจเกิดการชักเกร็ง ชักกระตุก หรือนิ่ง เหม่อลอย ทำให้ควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายไม่ได้ ข่าวที่ผู้ป่วยโรคลมชักขับรถชนเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิตก็มีมาแล้ว ดังนั้น โรคลมชักจึงเป็นโรคต้องห้ามโรคหนึ่งสำหรับผู้ขับขี่

3. โรคความดันโลหิตสูง

โรคความดันโลหิตสูงเป็นโรคที่เสี่ยงต่อการเกิดอาการรุนแรงกะทันหัน โดยเฉพาะเมื่อต้องพบเจอกับความเครียดบนท้องถนน หากความดันขึ้นสูงมากๆ ก็อาจถึงขั้นหน้ามืดเป็นลม หรือที่ร้ายกว่านั้นคือเกิดเส้นเลือดในสมองแตกได้ ซึ่งเป็นอันตรายต่อทั้งผู้ขับขี่และผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ

4. ผู้ที่เคยรับการผ่าตัดสมอง

การผ่าตัดสมองอาจส่งผลต่อการมองเห็น การทรงตัว การกะระยะ และการควบคุมการเคลื่อนไหวร่างกาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้สำคัญต่อการขับรถทั้งสิ้น เป็นสาเหตุให้ต้องเพิ่มเข้ามาเป็นข้อห้ามอีกข้อหนึ่งนั่นเอง

5. โรคหัวใจ

ผู้ที่เป็นโรคหัวใจและเสี่ยงต่อภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด อาจเกิดหัวใจวายหรือหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันได้ โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญกับความเครียด ความกดดัน และความตื่นเต้นในระหว่างขับรถ ซึ่งจะส่งผลร้ายแรงต่อทั้งตนเองและผู้อื่น

นอกจากนี้ ผู้ที่ต้องการทำใบขับขี่ในปัจจุบันนี้ จะต้องใช้ใบรับรองแพทย์แบบมาตรฐานใหม่ ซึ่งใบรับรองแพทย์จะแบ่งเป็น 2 ส่วน

  • ส่วนที่ 1 เป็นการกรอกข้อมูลทั่วไป โรคประจำตัว ประวัติการรักษา ประวัติอุบัติเหตุและการผ่าตัด ซึ่งต้องกรอกให้ครบตามความเป็นจริง
  • ส่วนที่ 2 เป็นส่วนที่แพทย์ต้องกรอกเพื่อยืนยันว่า ผู้เข้ารับการตรวจไม่มีความพิการ หรือทุพพลภาพทางร่างกาย ไม่มีอาการจิตฟั่นเฟือน ไม่มีอาการพิษสุราเรื้อรัง ไม่มีการติดยาเสพติดให้โทษ และไม่มีอาการของโรคเรื้อน วัณโรค และโรคเท้าช้าง จากนั้นจึงให้แพทย์ผู้ตรวจเซ็นกำกับ

คาดว่าใบรับรองแพทย์แบบใหม่ น่าจะช่วยคัดกรองผู้ป่วยเป็นโรคต้องห้ามสำหรับการขับขี่ได้ดียิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม เมื่อการตรวจโรคเพื่อขอทำใบอนุญาตขับขี่เริ่มเข้มงวดขึ้น ในอนาคตอาจต้องมีการเจาะเลือดเพื่อตรวจภาวะเบาหวาน หรือวัดความดันโลหิต เพิ่มเติมจากการตรวจปกติก็ได้


2 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่
Distracted Driving | Motor Vehicle Safety. Centers for Disease Control and Prevention (CDC). (https://www.cdc.gov/motorvehiclesafety/distracted_driving/index.html)
Neurologic Conditions: Assessing Medical Fitness to Drive. National Center for Biotechnology Information. (https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC1069044/)

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)

บทความต่อไป
อาหารคีโตเจนิก (Ketogenic Diet) สำหรับโรคลมชัก
อาหารคีโตเจนิก (Ketogenic Diet) สำหรับโรคลมชัก

คำอธิบายของอาหารคีโตเจนิกและตัวอย่างรายการอาหาร

อ่านเพิ่ม