>คำอธิบายของอาหารคีโตเจนิกและตัวอย่างรายการอาหาร
อาหารคีโตเจนิก(ketogenic diet)สำหรับโรคลมชักเป็นอาหารแบบพิเศษที่ช่วยให้เด็กหลายๆคนและผู้ใหญ่บางคนสามารถควบคุมอาการลมชัก (หรือกระทั่งทำให้ไม่เกิดอาการ) ได้
ขนมปัง "ไร้แป้ง ไร้น้ำตาล อิ่มนาน ไปรตีนสูง" อยากคุมน้ำหนัก แบบไม่อด ต้องลอง พร้อมโปร 5 ฟรี 1
ซื้อผ่าน HD ประหยัดกว่า / ราคาพิเศษสำหรับ นศ. / ผ่อน 0% / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
การลองอาหารคีโตเจนิกครั้งแรกของฉันสำหรับโรคลมชัก
กว่า 20 ปีก่อนในต้นปี 1990 ฉันได้เข้าร่วมกลุ่มผู้ปกครองทางอินเตอร์เน็ตหลังจากเกิดสิ่งเลวร้ายขึ้นกับสมาชิกในครอบครัวของเรา ลูกสาวของเจต้องทนทุกข์กับอาการผิดปกติที่เรียกว่า “โรคชักเกร็งในทารก (infantile spasms)” หรืออีกชื่อคือเวสท์ซินโดรม (West syndrome) ซึ่งเป็นการชักประเภทที่พบได้ยาก เธอมีอาการชักหลายสิบครั้งในแต่ละวัน และท่าทางของเธอเปลี่ยนไปจากเด็กทารกที่ยิ้มแย้ม และเล่นด้วยกลายเป็นทารกที่ไม่มีความสุขซึ่งไม่ยอมสบตาและร้องไห้มาก แพทย์บอกกับครอบครัวว่าลูกสาวของพวกเขานั้นอาจมีพัฒนาการบกพร่องร้ายแรงได้ และอาจเดินหรือพูดไม่ได้เลย พวกเขาได้ลองการรักษาหลากหลายวิธีบางวิธีก็ช่วยได้ชั่วคราว แต่อาการชักก็ยังกลับมาอีก ท้ายที่สุดเมื่อไม่หวังแล้ว พ่อกับแม่ก็คิดที่จะผ่าตัดสมองลูกสาวของพวกเขาออกครึ่งหนึ่ง
ไม่กี่เดือนหลังจากที่ลูกสาวของเจได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคชักเกร็งในทารก เจได้อ่านเกี่ยวกับการรักษาด้วยอาหารในโรคลำชักที่เรียกว่า อาหารคีโตเจนิก ซึ่งเป็นวิธีรักษาที่มีมานานสำหรับโรคลมชักกำเนิดขึ้นในปี 1920 แต่เมื่อมีวิธีรักษาที่มีประสิทธิภาพได้พัฒนาขึ้น การรักษาวิธีก็ถูกหลงลืมไป ปัจจุบันแพทย์บางคนได้ทดลองนำการรักษาวิธีนี้กลับมาใช้ใหม่ในเด็กที่เป็นโรคลมชักซึ่งไม่ตอบสนองต่อการรักษา และแม่ของเด็กก็เชื่อใจแพทย์ประสาทวิทยาให้ทดลอง
เมื่อฉันได้ยินเจพูดถึง อาหารคีโตเจนิกครั้งแรก มันค่อนข้างฟังดูบ้าสำหรับฉัน และอาหารนั้นเกือบทั้งหมดเป็นไขมัน (ก่อนที่ฉันจะได้ยินเกี่ยวกับอาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำมากขึ้น) แต่พระเจ้า! มันได้ผล! ในไม่กี่สัปดาห์อาการชักของเด็กก็ค่อยๆลดลง และต่อมาเธอก็เริ่มพัฒนาการปกติ ไปโรงเรียนกับเพื่อนวัยเดียวกัน และทำได้ดีด้วย พ่อแม่ของเอเชื่อว่า อาหารคีโตเจนิกคือ “สิ่งมหัศจรรย์”
ในอีก 20 ปีข้างหน้า อาหารคีโตเจนิกสำหรับโรคลมชักจะได้รับการศึกษาอย่างกว้างขวาง และในปัจจุบันก็เป็นทางเลือกสำรองสำหรับเด็ก (แม้แต่ในผู้ใหญ่บางราย) ที่เป็นโรคลมชักที่ควบคุมอาการด้วยยาได้ยาก มีเด็กมากกว่า 300,000 คนในสหรัฐอเมริกามีความผิดปกติเรื่องอาการชัก และการรักษาวิธีนี้จะเป็นหนึ่ง ในวิธีรักษาที่สำคัญหลายๆวิธีของโรคลมชัก
เป็นสิ่งสำคัญมากที่ผู้ที่จะใช้อาหารคีโตเจนิกสำหรับโรคลมชักนั้นต้องทำภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้มีประสบการณ์และนักโภชนาการ และความแตกต่างและหลากหลายของแต่ละคนจะส่งผลต่ออาหารถูกต้องที่ควรได้รับของแต่ละคน และการใช้วิธีรักษานี้ร่วมกับการใช้ยานั้นอาจเป็นเรื่องยุ่งยาก จึงไม่ใช่สิ่งที่ควรลองทำด้วยตนเอง
อาหารคีโตเจนิกสำหรับโรคลมชักคืออะไร?
(ข้อสังเกต : ฉันใช้คำว่า “อาหารคีโตเจนิกสำหรับโรคลมชัก” เพื่อแยกกันกับคำว่า“อาหารคีโตเจนิก”ทั่วไป และอาหารแบบที่ใช้ในโรคลมชักจริงๆแล้วเป็นแบบหนึ่งของอาหารคีโตจนิกซึ่งฉันจะย่อว่า เคดีอี(KDE))
ขนมปัง "ไร้แป้ง ไร้น้ำตาล อิ่มนาน ไปรตีนสูง" อยากคุมน้ำหนัก แบบไม่อด ต้องลอง พร้อมโปร 5 ฟรี 1
ซื้อผ่าน HD ประหยัดกว่า / ราคาพิเศษสำหรับ นศ. / ผ่อน 0% / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
เคดีอีเป็นอาหารที่มีไขมันสูงมาก และมีโปรตีนแค่พอต่อการบำรุงรักษา และการเจริญเติบโตของร่างกายเท่านั้น และมีคาร์โบไฮเดรตต่ำมาก ในภาวะนี้ร่างกายจะสร้างโมเลกุลที่เรียกว่า คีโตน (ketone) หรือที่เรียกว่า คีโตนบอดี(ketone bodies) ออกมาเมื่อไขมันถูกเผาผลาญ คีโตน(ส่วนใหญ่) ละลายน้ำ และขนส่งไปสู่สมองได้ง่าย เพราะว่าสมองไม่สามารถใช้กรดไขมันเป็นพลังงานได้ แต่สามารถใช้คีโตนเป็นแหล่งพลังงานส่วนใหญ่ที่สมองต้องการ เป้าหมายของการใช้ อาหารคีโตเจนิก สำหรับโรคลมชักนั้นคือให้สมองใช้คีโตนเป็นพลังงานแทนการใช้กลูโคสให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
การใช้ อาหารคีโตเจนิก สำหรับโรคลมชักมักเริ่มในโรงพยาบาล และมักเริ่มจากงดอาหารสองถึงสามวัน (แม้ว่าส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่ไม่ต้องอดอาหารก่อนแล้ว) หลังจากคำนวณปริมาณโปรตีนที่เหมาะสม(ขึ้นกับอายุ เป็นต้น) อาหารจะถูกแบ่งเป็นสัดส่วนของไขมันเป็นกรัมต่อโปรตีนรวมกับคาร์โบไฮเดรตเป็นกรัม โดยมักเริ่มจากอัตราส่วน 4:1 และปรับได้เล็กน้อย อาหารนี้มักจะจำกัดปริมาณแคลอรีและน้ำเช่นกัน นอกจากนั้นของว่างที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำ (น้ำปั่น แท่งธัญพืช เป็นต้น) ก็ห้ามกินอย่างน้อยในเดือนแรก เนื่องจากหนึ่งกรัมของไขมันมีแคลอรีเป็นสองเท่าของโปรตีนหรือคาร์โบไฮเดรตหนึ่งกรัม หมายความว่าแคลอรีในอาหารอย่างน้อย 90% มาจากไขมัน และชัดเจนว่าเป็นอาหารที่ต้องเข้มงวดอย่างมาก และใช้เวลาในการเรียนรู้ที่จะทำให้อาหารแต่ละมื้อตรงตามสูตร อาหารทุกอย่างจะต้องชั่งและบันทึกไว้
รายการอาหารโดยทั่วไปแต่ละวัน
ด้านล่างนี้คือคำอธิบายโดยย่อของรายการอาหารที่ตีพิมพ์ในหนังสือ “อาหารคีโตเจนิก และอาหารแอทกินส์: สูตรสำหรับป้องกันชัก (The Ketogenic and Atkins Diets: Recipes for Seizure Control)” (บรรรณานุกรมด้านล่าง) ซึ่งเป็นแนวทางว่าเด็กควรจะกินอาหารอะไรบ้าง ไม่ใช่ใบสั่งยาที่ต้องทำตามทั้งหมด และอาหารทุกชนิดนี้ต้องมีการชั่งตวงอย่างระมัดระวัง
มื้อเช้า – ไข่ผสมกับครีมข้น เนย เบคอน และผลไม้ชิ้นเล็กๆ
มื้อกลางวัน – สลัดทูน่า (ใช้มายองเนสและครีมข้น)กับผักกาด
มื้อเย็น – เบอร์เกอร์ชีสที่มีไขมันเยอะๆ ผักน้อยๆ กับถัวลันเตา
ของว่าง: - “คัสตาร์ดคีโต” ทำจากไข่และครีมข้น
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
- “โยเกิร์ตคีโต” ทำจากครีมเปรี้ยว ครีมข้น และผลไม้ชิ้นเล็กๆผสมกัน
- “เนยถั่วปั้นก้อน” ผสมเนยถั่วกับเนยปั้นเป็นก้อน
ไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีความหลากหลายมากขึ้นโดยการใช้น้ำมันมะพร้าวหรือน้ำมันที่มีกรดไขมันอิ่มตัวความยาวปานกลางทดแทนครีมข้น และเนย
อาหารคีโตเจนิกมีประสิทธิภาะมากน้อยเพียงใดในโรคลมชัก?
มีการศึกษาหลายชิ้นพบว่าหนึ่งในสามของผู้ป่วยมีอาการชักลดลงอย่างน้อย 90% และอีกหนึ่งในสามลดลง 50-90% ซึ่งเป็นที่น่าทึ่งว่าผู้ป่วยเหล่านี้มักมีอาการชัก ที่ไม่สามารถควบคุมด้วยยาได้ (คำว่า “โรคลมชัก” นั้นหมายรวมถึงกลุ่มของความผิดปกติจากสาเหตุต่างๆที่ยังไม่ทราบแน่ชัดซึ่งแต่ละคนก็จะตอบสนองต่อการรักษาต่างกัน)
ทำไมการกินอาหารถึงได้ผล?
มีทฤษฎีบางทฤษฎีอธิบายว่าทำไมการกินอาหารจึงได้ผล แต่ไม่มีใครทราบชัดเจน การเปลี่ยนแปลงสารสื่อประสาท การแสดงออกของยีน และการเพิ่มขึ้นของตัวรับสัญญาณที่เซลล์ประสาทอาจเป็นสาเหตุได้
เด็กต้องกินอาหารนี้ไปนานเท่าไหร่?
โดยทั่วไปการค่อยๆลดอาหารคีโตเจนิกลงจะทำหลังจากสองปี แต่เด็กบางคนก็จะกินอาหารคีโตเจนิกต่อไป ในเรื่องที่เล่ามาข้างต้นนั้น เจสามารถค่อยๆลดการกินอาหารคีโตเจนิกของลูกสาวเธอได้หลังจากเริ่มมาสองปีโดยอาการชักไม่กลับมาอีก
มีทางเลือกอื่นหรือไม่นอกจากการกินอาหารคีโตเจนิกที่เข้มงวดอย่างมากนี้?
มี ทางเลือกที่ได้รับความนิยมทางหนึ่งที่อาจช่วยได้คือ อาหาร แอทกินส์ แบบประยุกต์ (Modified Atkins Diet) ซึ่งเป็นอาหารที่ไม่เข้มงวดมากนักทั้งปริมารแคลอรี น้ำ และโปรตีนไม่ต้องชั่งตวง โดยทั่วไปมักเริ่มจากคาร์โบไฮเดรตวันละ 10 กรัมในเดือนแรกและค่อยๆเพิ่มขึ้นเป็น 15-20 กรัม ซึ่งในช่วงเริ่มต้นของอาหารสูตรเอทกินส์นี้เข้มงวดมาก ที่ผ่านมามีการศึกษาอย่างน้อยหนึ่งชิ้น ว่าบางรายสามารถคุมอาการชักได้ดีกว่า เมื่อเปลี่ยนจากการกินอาหารสูตรแอทกินส์ไปเป็นอาหารคีโตเจนิก
ผู้ใหญ่ที่มีอาการชักจะได้ประโยชน์จากอาหารคีโตเจนิกหรือไม่?
ใช่ มีการศึกษาบางชิ้นระบุว่าการใช้อาหารสูตร แอทกินส์ แบบประยุกต์ในผู้ใหญ่ที่เป็นโรคลมชักนั้นมีผลออกมาค่อนข้างใกล้เคียงกับในเด็ก และน่าสนใจว่ามีข้อสังเกตในรายงานชิ้นหนึ่งว่าผู้ใหญ่คุมอาหารได้ยากกว่าเมื่อมีการควบคุมอาหารมากกว่าสิ่งที่กิน