เยื่อหุ้มสมองอักเสบ

เผยแพร่ครั้งแรก 29 ก.ย. 2018 อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 2020 เวลาอ่านประมาณ 7 นาที
เยื่อหุ้มสมองอักเสบ

ภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบ (Meningitis) เป็นการติดเชื้อที่ชั้นเยื่อหุ้มที่ปกป้องสมองกับไขสันหลังอยู่ ภาวะนี้สามารถเกิดได้กับทุกคน แต่จะพบบ่อยกับเด็กทารก เด็กเล็ก วัยรุ่น และผู้ใหญ่อายุน้อย

ภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบจะกลายเป็นภาวะร้ายแรงหากไม่รีบเข้ารับการรักษาในทันที ซึ่งจะทำให้เกิดภาวะโลหิตเป็นพิษและสร้างความเสียหายถาวรแก่สมองหรือประสาทได้

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!

จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง

มีวัคซีนจำนวนหนึ่งที่สามารถใช้ป้องกันการเกิดภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบได้

อาการของภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบ

อาการของภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันมีดังนี้:

  • มีไข้สูงกว่า 37.5 องศาเซลเซียส
  • รู้สึกไม่สบาย
  • ปวดศีรษะ
  • ผื่นบวมที่ไม่ยุบลงเมื่อถูกกด (อาจไม่เกิดขึ้นเสมอไป)
  • เจ็บคอ
  • อ่อนไหวต่อแสงจ้า
  • ง่วงนอนหรือไม่ตอบสนอง
  • ชัก

อาการเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นตามลำดับข้างต้น และบางอาการอาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้

ควรไปพบแพทย์เมื่อไร?

คุณควรไปพบแพทย์ทันทีที่ทำได้หากมีความกังวลว่าคุณหรือลูกของคุณป่วยเป็นภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบโดยที่ไม่จำเป็นต้องรอจนมีผื่นเกิดขึ้นมา

หากคุณคาดว่าตนเองหรือลูกป่วยรุนแรงควรเรียกรถพยาบาลมารับตัวผู้ป่วยไปโรงพยาบาลแทน

ภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบแพร่กระจายได้อย่างไร?

ภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบมักจะเกิดมาจากการติดเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัส สำหรับภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียจะหายากกว่าแต่จะมีความรุนแรงมากกว่าการติดเชื้อจากไวรัส

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!

จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง

การติดเชื้อที่ทำให้เกิดภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบสามารถแพร่เชื้อต่อได้ผ่าน:

  • การจาม
  • การไอ
  • การจูบ
  • การใช้ช้อนส้อมและแปรงสีฟันร่วมกัน

ภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบมักจะติดมาจากผู้ป่วยที่มีเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียในจมูกหรือลำคอ แต่การแพร่กระจายจากผู้ป่วยไปสู่ผู้ที่สุขภาพดีนั้นเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก

คุณสามารถป่วยเป็นภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบได้มากกว่าหนึ่งครั้ง

การฉีดวัคซีนป้องกันภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบ

วัคซีนสำหรับภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบจะสามารถป้องกันภาวะนี้ที่มาจากสาเหตุบางอย่างเท่านั้น เช่น:

  • วัคซีนเยื่อหุ้มสมองอักเสบ B: จะจัดให้กับเด็กทารกอายุ 8 สัปดาห์ ตามด้วยเข็มที่สองที่ 16 สัปดาห์ และจะมีการฉีดกระตุ้นอีกครั้ง 1 ปี
  • วัคซีน 5-in-1: จะจัดให้กับเด็กทารกอายุ 8, 12 กับ 16 สัปดาห์
  • วัคซีนปอดอักเสบ: จะจัดให้กับเด็กทารกอายุ 8 สัปดาห์ 16 สัปดาห์ และ 1 ปี
  • วัคซีนเยื่อหุ้มสมองอักเสบ C: จะจัดให้กับเด็กอายุ 12 สัปดาห์ กับ 1 ปี
  • วัคซีน MMR: จะจัดให้กับเด็กทารกอายุ 1 ปี และเข็มที่สองที่อายุ 3 ปี 4 เดือน
  • วัคซีนเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ACWY: จะจัดให้กับวัยรุ่นที่อยู่ในช่วงอายุประมาณ 14 ปี

ความคาดหวังที่มีต่อภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบ

ภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากไวรัสจะหายเองและมักไม่ก่อให้เกิดปัญหาระยะยาว

ผู้ป่วยภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบที่เกิดจากแบคทีเรียส่วนมากที่เข้ารับการรักษาเร็วจะฟื้นตัวกลับมาสมบูรณ์ดี แม้ว่าบางรายอาจมีปัญหาสุขภาพระยะยาวหลงเหลืออยู่บ้าง ซึ่งมีดังนี้:

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!

จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง

  • สูญเสียการได้ยินหรือการมองเห็น ทั้งแบบบางส่วนหรือทั้งหมด
  • ปัญหาด้านสมาธิกับความทรงจำ
  • ประสบกับภาวะชักบ่อยครั้ง
  • มีปัญหาด้านสมดุลกับการประสานงานของอวัยวะ
  • สูญเสียอวัยวะ หรือเสียแขนขาไปตามความจำเป็น

โดยรวมแล้วคาดกันว่ามีกรณีผู้ป่วยภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากแบคทีเรีย 1 ใน 10 กรณีที่เป็นการเจ็บป่วยร้ายแรงมาก

สาเหตุของภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบ

ภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบมักจะเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัส โดยการติดเชื้อจากไวรัสจะเกิดขึ้นบ่อยที่สุดและเป็นภาวะที่ร้ายแรงน้อยที่สุด ส่วนการติดเชื้อจากแบคทีเรียจะหายากกว่าและจะมีความรุนแรงมากกว่าหากไม่เข้ารับการรักษากับแพทย์

ไวรัสกับแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบขึ้นมีอยู่หลายชนิดดังนี้:

  • แบคทีเรียไข้กาฬหลังแอ่น: มีอยู่หลายชนิด ซึ่งมีชื่อเรียกต่างกันเช่น A, B, C, W, X, Y, และ Z
  • แบคทีเรียปอดอักเสบ
  • แบคทีเรีย Haemophilus influenzae type b (Hib)
  • เอนเทอโรไวรัส: ไวรัสที่ทำให้เกิดการติดเชื้อในกระเพาะที่ไม่รุนแรง
  • ไวรัสคางทูม
  • ไวรัสโรคเริม: ไวรัสที่ทำให้เกิดโรคเริมชนิดมีแผล หรือเริมที่อวัยวะเพศ

มีวัคซีนป้องกันภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบมากมายที่ป้องกันการติดเชื้อหลายชนิดที่จะก่อให้เกิดภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบขึ้น

ใครมีความเสี่ยงต่อภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบมากที่สุด?

ทุกคนสามารถป่วยเป็นเยื่อหุ้มสมองอักเสบได้ แต่ภาวะนี้มักจะเกิดกับ:

  • เด็กทารกและเด็กเล็ก
  • วัยรุ่นและผู้ใหญ่อายุน้อย
  • ผู้สูงอายุ
  • ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันร่างกายอ่อนแอ เช่นผู้ป่วย HIV และผู้ที่กำลังเข้ารับการบำบัดเคมีอยู่

คุณสามารถลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเยื่อหุ้มสมองอักเสบได้ด้วยการทำวัคซีนตามกำหนด

การรักษาภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบ

ผู้ป่วยที่คาดว่าเป็นภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบจะต้องเข้ารับการทดสอบที่โรงพยาบาลเพื่อยืนยันการวินิจฉัยและตรวจหาว่าภาวะนี้เกิดมาจากการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย

ภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียมักจะใช้เวลาทำการรักษาที่โรงพยาบาลนานอย่างน้อย 1 สัปดาห์ ดังนี้:

  • การฉีดยาปฏิชีวนะเข้าเส้นเลือด
  • การให้ของเหลวผ่านทางเส้นเลือด
  • การให้ออกซิเจนทางหน้ากาก

สำหรับภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากไวรัสมักจะหายเองภายใน 7 ถึง 10 วัน และสามารถรักษาได้เองที่บ้าน ผู้ป่วยต้องพักผ่อนร่างกายให้มาก ๆ และทานยาแก้ปวดกับยาต้านอาการป่วยต่าง ๆ เพื่อบรรเทาอาการไปจนกว่าจะหายดี

การทดสอบที่โรงพยาบาล

จะมีการทดสอบหลายประเภทที่สามารถยืนยันข้อวินิจฉัยและตรวจหาว่าภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบที่เป็นนั้นเกิดมาจากเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย โดยมีดังนี้: การตรวจร่างกายเพื่อมองหาอาการของภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบ การตรวจเลือดเพื่อตรวจหาเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย การเจาะน้ำไขสันหลังเพื่อนำตัวอย่างของเหลวจากไขสันหลังไปหาเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย

การสแกนคอมพิวเตอร์ (CT สแกน) เพื่อตรวจหาปัญหาที่เกิดกับสมอง อย่างเช่นอาการสมองบวม

เนื่องจากภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากแบคทีเรียเป็นภาวะร้ายแรง ทำให้แพทย์จะจัดการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะก่อนเริ่มการวินิจฉัยยืนยันโรค และจะยุติการรักษาลงหากว่าผลการทดสอบแสดงให้เห็นว่าภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบนั้น ๆ เกิดมาจากเชื้อไวรัส

การรักษาที่โรงพยาบาล

การรักษาตัวที่โรงยาบาลจะแนะนำกับผู้ป่วยภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากแบคทีเรียทุกราย เนื่องจากภาวะจากแบคทีเรียจะมีความร้ายแรงมากกว่าจึงต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด

ส่วนผู้ป่วยภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากไวรัสรุนแรงก็ควรต้องได้รับการรักษาที่โรงพยาบาลเช่นกัน

การรักษามีดังนี้:

  • การใช้ยาปฏิชีวนะเข้าทางเส้นเลือด
  • การป้อนของเหลวผ่านทางเส้นเลือดโดยตรง
  • การสวมหน้ากากออกซิเจนหากผู้ป่วยมีอาการหายใจลำบาก
  • การใช้ยาสเตียรอยด์เพื่ดลดอาการสมองบวม

ผู้ป่วยภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบอาจต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลเป็นเวลาไม่กี่วัน และในบางกรณีอาจต้องจัดการรักษายาวนานหลายสัปดาห์

แม้คุณจะถูกปล่อยตัวกลับบ้าน คุณก็อาจต้องใช้เวลาสักพักกว่าร่างกายจะกลับมาแข็งแรงดี

อาจมีการรักษาและการช่วยเหลือระยะยาวตามความจำเป็นหากมีภาวะแทรกซ้อนจากภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบเกิดขึ้น เช่นสูญเสียการได้ยิน

การรักษาที่บ้าน

คุณจะสามารถออกจากโรงพยาบาลได้หากเป็นภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบชนิดที่ไม่รุนแรง และการทดสอบแสดงให้เห็นว่าการติดเชื้อนี้เกิดมาจากไวรัส

ภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบประเภทนี้มักจะหายเองโดยไม่ก่อให้เกิดปัญหาอื่น ๆ ตามมา โดยผู้ป่วยส่วนมากจะหายดีภายใน 7-10 วัน

ระหว่างพักฟื้น คุณควร:

  • พักผ่อนให้มาก ๆ
  • ทานยาแก้ปวดเพื่อจัดการกับอาการปวดศีรษะหรือปวดตามร่างกาย
  • ทานยาแก้คลื่นไส้สำหรับจัดการกับอาการอาเจียน

การป้องกันการแพร่เชื้อเยื่อหุ้มสมองอักเสบ

ความเสี่ยงที่ผู้ป่วยภาวะเยื่อหุ้มอักเสบจะแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นมีต่ำมาก แต่หากแพทย์คาดว่าผู้ป่วยมีโอกาสแพร่เชื้อสูง แพทย์อาจจัดยาปฏิชีวนะให้พวกเขาเพื่อป้องกันไว้ก่อน

นี่อาจรวมไปถึงผู้ที่มีโอกาสใกล้ชิดกับผู้ป่วย เช่น ผู้ที่อาศัยในครัวเรือนเดียวกัน นักศึกษาที่อาศัยในหอเดียวกัน แฟน

ส่วนผู้ที่ผู้ป่วยจะสัมผัสหรือใกล้ชิดเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ จะไม่จำเป็นต้องได้รับยาปฏิชีวนะ

ภาวะแทรกซ้อนจากภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบ

ผู้ป่วยภาวะเยื่อหุ้มอักเสบส่วนมากจะฟื้นจากอาการป่วยได้สมบูรณ์ดี แต่ก็มีบางกรณีที่ประสบกับปัญหาระยะยาวที่สามารถอันตรายถึงชีวิตได้เช่นกัน

ด้วยเหตุนี้คุณจึงควรไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาทันทีที่สงสัยว่าตนเองหรือลูกคุณมีอาการของภาวะเยื่อหุ้มอักเสบ และเช่นนี้เองที่ทำให้การทำวัคซีนภาวะเยื่อหุ้มอักเสบถูกกำหนดให้กับผู้คนบางกลุ่ม

คาดกันว่าผู้ป่วยภาวะเยื่อหุ้มอักเสบมากกว่าหนึ่งจากทุก ๆ สองหรือสามคนจะรอดชีวิตจากภาวะเยื่อหุ้มอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย โดยบรรดาผู้ที่รอดชีวิตจะประสบกับปัญหาสุขภาพถาวรหนึ่งอย่างหรือมากกว่า

ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากภาวะเยื่อหุ้มอักเสบจากไวรัสจะหายากมาก

ภาวะแทรกซ้อนหลัก

ภาวะแทรกซ้อนจากภาวะเยื่อหุ้มอักเสบที่พบได้บ่อยที่สุดคือ:

  • สูญเสียการได้ยิน (อาจจะบางส่วนหรือทั้งหมด): ผู้ที่เคยป่วยเป็นเยื่อหุ้มสมองอักเสบจะต้องเข้ารับการทดสอบการได้ยินภายหลังการรักษาไม่กี่สัปดาห์เพื่อตรวจหาปัญหาเกี่ยวกับการได้ยิน
  • โรคลมชักแบบเป็น ๆ หาย ๆ
  • ปัญหาด้านความทรงจำและสมาธิ
  • ปัญหาด้านการประสานงานและสมดุลร่างกาย
  • ปัญหาด้านพฤติกรรมและการเรียนรู้
  • สูญเสียการมองเห็น (อาจจะบางส่วนหรือทั้งหมด)
  • สูญเสียอวัยวะ: แพทย์อาจต้องทำการตัดแขนขาเพื่อหยุดการแพร่กระจายของเชื้อ และเพื่อกำจัดเนื้อเยื่อที่เสียหายออก
  • ปัญหากระดูกและข้อต่อ เช่นข้ออักเสบ
  • ปัญหาไต

โดยทั่วไปแล้วคาดกันว่าจะมีกรณีผู้ป่วยภาวะเยื่อหุ้มอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียที่จะประสบกับปัญหาที่เป็นอันตรายถึงชีวิตประมาณ 1 จาก 10 กรณี

การรักษาและช่วยเหลือ

จะมีการรักษาและการช่วยเหลือระยะยาวเพิ่มเติมขึ้นหากคุณหรือลูกของคุณประสบกับภาวะแทรกซ้อนจากเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ยกตัวอย่างเช่น:

การฝังคอเลียร์ที่เป็นอุปกรณ์ช่วยฟังขนาดเล็กเข้าไปในหูเพื่อช่วยการได้ยินในกรณีผู้ที่มีปัญหาการได้ยินรุนแรง

อวัยวะเทียมและการช่วยเหลือฟื้นฟูตามความจำเป็นกับผู้ป่วยที่เข้ารับการผ่าตัดอวัยวะออก

การให้คำปรึกษาและการช่วยเหลือทางจิตเวชหากผู้ป่วยได้รับผลกระทบทางจิตใจจากภาวะเยื่อหุ้มอักเสบ อย่างเช่นผู้ที่นอนไม่หลับ ปัสสาวะราดขณะนอนหลับ หรือกลัวแพทย์และโรงพยาบาล เป็นต้น

การป้องกันภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบ

ภาวะเยื่อหุ้มอักเสบสามารถเกิดมาจากการติดเชื้อหลาย ๆ ประเภท ทำให้มีวัคซีนจำนวนมากที่เป็นทางเลือกป้องกัน

เด็กควรได้รับวัคซีนตามที่กำหนดไว้ โดยคุณควรปรึกษาแพทย์หาไม่มั่นใจว่าคุณหรือลูกคุณได้รับวัคซีนตามกำหนดเวลาหรือไม่

1.วัคซีนเยื่อหุ้มสมองอักเสบ B

วัคซีนเยื่อหุ้มสมองอักเสบ B เป็นวัคซีนตัวใหม่ที่ใช้ป้องกันเชื้อแบคทีเรียไข้กาฬหลังอานกลุ่ม B ที่เป็นหนึ่งสาเหตุของภาวะเยื่อหุ้มอักเสบในเด็กเล็ก

วัคซีนตัวนี้ถูกแนะนำให้กับเด็กทารกอายุ 8 สัปดาห์ ที่ต้องมีการฉีดโดสที่สองในช่วงอายุ 16 สัปดาห์ และต้องทำการฉีดกระตุ้นอีกครั้งหนึ่งปี

2.วัคซีน 5-in-1

วัคซีน 5-in-1 หรือที่เรียกกันว่าวัคซีน DT aP/IPV/Hib ที่มีไว้เพื่อป้องกันโรคคอตีบ บาดทะยัก ไอกรน โปลิโอ และ Haemophilus influenzae type b (Hib)

Hib จะเป็นเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบขึ้น โดยวัคซีนตัวนี้จะให้กับเด็ก ณ ช่วงเวลาที่ต่างกันสามช่วงคือช่วงอายุ 8, 12, และ 16 สัปดาห์

3.วัคซีนปอดอักเสบ

วัคซีนปอดอักเสบมีไว้เพื่อป้องกันการติดเชื้อร้ายแรงที่มาจากแบคทีเรียปอดอักเสบ รวมไปถึงภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบเช่นกัน

เด็กทารกจะได้รับวัคซีนปอดอักเสบ ณ ช่วงเวลาที่ต่างกันสามช่วงคือช่วงอายุ 8 สัปดาห์ 16 สัปดาห์ และอายุหนึ่งปี

4.วัคซีน Hib/Men C

วัคซีนโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ C มีไว้เพื่อป้องกันเชื้อแบคทีเรียบางประเภทที่ก่อให้เกิดภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบขึ้น เช่นแบคทีเรีย  meningococcal group C

เด็กทารกจะได้รับวัคซีน Hib/Men C นี้ในช่วงอายุหนึ่งปี

5.วัคซีน MMR

วัคซีน MMR มีเพื่อป้องกันโรคหัด โรคคางทูม และโรคหัดเยอรมัน ซึ่งภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบจะเป็นหนึ่งในภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคเหล่านี้

วัคซีนนี้มักจะให้แก่เด็กอายุหนึ่งปี โดยจะได้รับโดสที่สองเมื่อพวกเขามีอายุสามปีกับอีกสี่เดือน

6.วัคซีนเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ACWY

วัคซีนเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ACWY มีเพื่อป้องกันเชื้อแบคทีเรียสี่ประเภทที่สามารถก่อให้เกิดภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบขึ้นมา คือ meningococcal groups A, C, W และ Y

วัยรุ่นอายุประมาณ 14 ปีถูกแนะนำให้ได้รับวัคซีนประเภทนี้


42 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่
Meningitis. Centers for Disease Control and Prevention (CDC). (https://www.cdc.gov/meningitis/index.html)

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)

บทความต่อไป
โรคไข้สมองอักเสบ
โรคไข้สมองอักเสบ

โรคติดเชื้อที่สมองสุดอันตราย รักษาไม่ทันอาจเสียชีวิต บางรายแม้รักษาหายแต่ก็มีโอกาสพิการสูง

อ่านเพิ่ม