ไม่ว่าใครก็ต้องเคยมีวันที่รู้สึกขี้เกียจไปเรียน ทำการบ้าน หรือทำงาน ซึ่งปกติแล้วอาจแก้ไขได้ด้วยการแบ่งเวลาพักผ่อน ผ่อนคลายสักพักหนึ่ง แล้วค่อยกลับไปทำสิ่งที่ต้องทำอีกครั้ง แต่หากอาการขี้เกียจเกิดขึ้นบ่อยครั้งจนเรื้อรัง จนส่งผลกระทบต่อการเรียน การงาน นั่นอาจเป็นสัญญาณของความผิดปกติของภาวะจิตใจหรือสุขภาพร่างกายได้
จัดการกับความขี้เกียจอย่างไรดี?
หากเริ่มรู้สึกว่าอาการขี้เกียจส่งผลกระทบกับประสิทธิภาพในการเรียนหรือการทำงาน วิธีการจัดการความขี้เกียจเหล่านี้อาจช่วยได้
โปรแกรมตรวจสุขภาพวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 99 บาท ลดสูงสุด 96%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
1. กำหนดเป้าหมายเล็กและใหญ่
ในบางครั้ง การตั้งเป้าหมายที่ยากเกินไปหรือต้องใช้ระยะเวลานานเกินไป อาจทำให้รู้สึกเหนื่อยได้
ความเหนื่อยจากการทำงานหรือการเรียนที่สะสมจะทำให้คุณรู้สึกอ่อนเพลีย เบื่อหน่าย หมดความสนใจ หรือแรงจูงใจในการทำงาน จนเข้าสู่ภาวะขี้เกียจได้ แนะนำให้เปลี่ยนเป็นการกำหนดเป้าหมายเล็กและใหญ่จะดีกว่า
- เป้าหมายเล็ก เป็นสิ่งที่ต้องทำในแต่ละวัน สามารถทำสำเร็จได้ไม่ยาก เช่น อ่านหนังสือเรียนวันละ 5 หน้า
- เป้าหมายใหญ่ เป็นสิ่งที่คาดหวังว่าจะสำเร็จในอนาคต ต้องใช้ระยะเวลาช่วงหนึ่งในการลงมือทำถึงจะประสบความสำเร็จ โดยอาจต่อยอดมาจากเป้าหมายเล็ก เช่น อ่านหนังสืออย่างน้อยเดือนละ 3 เล่ม
การที่คุณสามารถทำเป้าหมายเล็กให้สำเร็จในแต่ละวันได้นั้น จะช่วยให้เกิดความภาคภูมิใจและไม่ทำให้รู้สึกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ยากหรือเป็นภาระหนักจนเกินไปนั่นเอง
2. ยอมรับในผลงานของตัวเอง
ไม่มีใครเป็นคนที่เก่งหรือสมบูรณ์แบบในทุกด้าน ทุกคนล้วนมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันไป
การคาดหวังว่าผลงานทุกชิ้นจะต้องออกมาสมบูรณ์แบบไม่มีที่ติมากจนเกินไปอาจทำให้เกิดผลเสียได้ เมื่อผลงานไม่เป็นไปอย่างที่หวังก็อาจทำให้คุณรู้สึกผิดหวัง เครียด และไม่มั่นใจในตัวเอง จนไม่อยากจะทำสิ่งนั้นอีก นำไปสู่ความขี้เกียจ
นอกจากนี้ การผิดหวังเป็นประจำหรือมีความเครียดสะสมเป็นระยะเวลานานก็อาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวลได้
โปรแกรมตรวจสุขภาพวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 99 บาท ลดสูงสุด 96%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
แนะนำให้ปรับเปลี่ยนความคิดของตัวเอง ยอมรับผลลัพธ์ของงานที่ทำออกมาอย่างตั้งใจ และเมื่อเกิดความผิดพลาดก็นำข้อผิดพลาดเหล่านั้นไปแก้ไขในงานชิ้นต่อไป จะช่วยให้รู้สึกอยากเรียนหรือทำงานเพื่อพัฒนาตัวเองมากยิ่งขึ้น
3. เชื่อมั่นว่าตัวเองสามารถทำสิ่งนั้นได้
การคิดในแง่ลบว่าไม่สามารถทำสิ่งนั้นได้ตั้งแต่เริ่มต้น ส่งผลเสียต่อการทำงานและการเรียนมากกว่าที่คิด เพราะจะทำให้คุณหมดกำลังใจที่จะทำสิ่งนั้น ไม่อยากทำ และกลายเป็นความขี้เกียจ
ลองปรับเปลี่ยนความคิดตัวเอง เชื่อมั่นว่าเราสามารถทำสิ่งนั้นได้ โดยการพูดให้กำลังใจกับตัวเองในทุกๆ วัน จะทำให้ความรู้สึกต่องานหรือการเรียนดีขึ้น
4. วางแผนในการทำงาน
การวางแผนงานจะช่วยให้จัดสรรงานหรือการเรียนได้ง่ายขึ้น เพราะคุณจะมองเห็นภาพรวมของงานทั้งหมด รู้ว่าจะต้องทำอะไรบ้างตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ และสามารถเตรียมรับมือกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ด้วย
ตัวอย่างรูปแบบในการวางแผนการทำงานที่นิยมมีอยู่ 2 รูปแบบ คือ
- แพลนเนอร์ (Planner) มีการจัดจำหน่ายหลายรูปแบบ โดยสามารถบันทึกแผนงานเป็นรายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน ไปจนถึงรายปีได้
- บุลเล็ตเจอร์นัล (Bullet journal) หรือที่นิยมเรียกกันสั้นๆ ว่า บูโจ (BUJO) มีจุดเด่นคือ การกำหนดเรื่องสำคัญ หรือสิ่งที่ต้องทำเป็นบุลเล็ต
5. ประยุกต์ใช้จุดแข็งของตัวเองในการเรียนหรือการทำงาน
การนำจุดแข็งของตัวเองมาประยุกต์ใช้กับการเรียนหรือการทำงานจะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจยิ่งขึ้น เช่น หากคุณถนัดในด้านการนำเสนอแผนงาน ก็ให้รับผิดชอบด้านนั้นเป็นหลัก และพัฒนาจุดด้อยของตัวเองควบคู่ไปด้วยโดยการเรียนรู้จากผู้อื่น
โปรแกรมตรวจสุขภาพวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 99 บาท ลดสูงสุด 96%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
อย่างไรก็ตาม ไม่ควรกดดันหรือคิดมากเรื่องจุดด้อยของตัวเองมากเกินไป เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะรอบรู้ไปเสียทุกด้าน
6. ให้ความสำคัญกับความสำเร็จ
หลายครั้งที่เรามักจะให้ความสำคัญกับความล้มเหลวมากจนมองข้ามความสำเร็จในชีวิตไป และเผลอลดคุณค่าของตัวเองโดยไม่รู้ตัว
แนะนำให้ลองจดบันทึกสิ่งที่ทำสำเร็จในทุกๆ วัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่บ้านหรือที่ทำงาน วิธีนี้จะช่วยให้คุณมองเห็นคุณค่าของตัวเองมากขึ้น เสริมสร้างความมั่นใจ และการคิดบวก (Positive thinking) มากยิ่งขึ้น
7. รู้จักขอความช่วยเหลือ
หลายคนเชื่อว่าการขอความช่วยเหลือแสดงถึงความล้มเหลวในการทำงาน การเรียน หรือเป็นการแสดงความโง่เขลา นั่นไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง ความจริงคุณสามารถขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นได้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่คุณจะขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น ควรทำสิ่งนั้นให้เต็มที่ก่อน
ตัวอย่างเช่น ได้รับมอบหมายให้ทำรายงานหัวข้อหนึ่งก็ควรหาข้อมูลด้วยตัวเองก่อน ถ้าสุดท้ายไม่สามารถหาข้อมูลที่ต้องการได้จริงๆ ก็ให้นำข้อมูลที่คุณหาได้ในเบื้องต้นไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ การที่คุณไม่ทำอะไรเลย คอยแต่จะขอความช่วยเหลือผู้อื่น อาจทำให้ถูกมองว่าเป็นคนขี้เกียจได้
นอกจากนี้ ข้อดีของการขอความช่วยเหลือผู้อื่นจะช่วยให้คุณมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นมาก รู้จักการเข้าสังคม การวางตัว และได้ความรู้ใหม่ๆ มุมมองใหม่ๆ อีกด้วย
8. หลีกเลี่ยงสิ่งเร้าที่ทำให้เบี่ยงเบนความสนใจจากการทำงานหรือการเรียน
ในระหว่างที่ทำงานหรือเรียนหนังสือ ควรหลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้คุณถูกเบี่ยงเบนความสนใจได้ โดยสิ่งเหล่านั้นมักเป็นสิ่งที่เราชื่นชอบ เช่น การเล่นโซเชียลมีเดีย (Social Media) การเล่นกับเพื่อน
การหลีกหนีจากสิ่งเร้าไปยังสถานที่ที่เงียบสงบเหมาะแก่การทำงาน เช่น ห้องสมุด หรือโต๊ะทำงาน จะช่วยเพิ่มบรรยากาศในการทำงาน ทำให้คุณมีสมาธิจดจ่อยิ่งขึ้น
9. อย่าลืมให้รางวัลกับตัวเอง
การให้รางวัลตัวเองเมื่อทำเป้าหมายสำเร็จจะทำให้รู้สึกมีกำลังใจที่จะทำเป้าหมายต่อไปมากขึ้น เช่น ซื้อสิ่งของที่อยากได้ หาของอร่อยๆ มารับประทาน หรือไปเที่ยวต่างจังหวัดเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ
การที่คุณกดดันตัวเองมากเกินไป ไม่แบ่งเวลาผ่อนคลายร่างกายและสมอง จะทำให้เกิดความเครียดสะสมจนรู้สึกเหนื่อยล้า ไม่อยากทำงาน จนเข้าสู่ภาวะขี้เกียจในที่สุด
ปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตเพื่อพิชิตความขี้เกียจ
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมชีวิตหันกลับมาดูแลใส่ใจสุขภาพร่างกายของตัวเอง เป็นอีกหนึ่งวิธีการจัดการความขี้เกียจที่เห็นผล เพราะเมื่อเรามีสุขภาพกายและใจที่ดี ย่อมส่งผลให้กระบวนการคิดและเรียนรู้ดีขึ้นตามไปด้วย อีกทั้งยังมีแรงในการทำงานและเรียนหนังสืออย่างเต็มเปี่ยม
1. รับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง
โปรตีนเป็นแหล่งอาหารที่มีประโยชน์ ช่วยเพิ่มพลังงานให้กับร่าง และรักษาสมดุลของระดับน้ำตาลในเลือด ทำให้คุณกระปรี้กระเปร่ามากยิ่งขึ้น
ตัวอย่างอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น
- กรีกโยเกิร์ต (Greek yogurt)
- ถั่วอัลมอนด์ (Almond)
- ไข่ไก่
- ปลาทูน่า
2. หลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง
การรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูงจะทำให้รู้สึกง่วงนอนได้ อีกทั้งยังเป็นอันตรายต่อร่างกาย อาจทำให้เกิดโรคเบาหวานหรือโรคอ้วนได้
ตัวอย่างอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง เช่น
- น้ำหวาน ชา กาแฟ
- ผลิตภัณฑ์จากแป้งขัดขาวต่างๆ เช่น ขนมปังขาว ข้าวหอมมะลิ
- เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- ของทอด อาหารฟาสต์ฟู้ด (Fast food)
3. ออกกำลังกายเป็นประจำ
คุณควรออกกำลังอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ หรือ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง
นอกจากนี้ การออกกำลังกายยังช่วยเพิ่มระดับโกรทฮอร์โมน (Growth hormone) และกลุ่มฮอร์โมนแห่งความสุข ไม่ว่าจะเป็น เอนดอร์ฟิน (Endorphin) โดพามีน (Dopamine) หรือเซโรโทนิน (Serotonin)
การออกกำลังกายจึงเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยลดความวิตกกังวลและความเครียด ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของความขี้เกียจ ไม่อยากทำอะไร ได้นั่นเอง
4. พักผ่อนให้เพียงพอ
คุณควรพักผ่อนให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย อย่างน้อยวันละ 6-8 ชั่วโมงขึ้นไป จะทำให้รู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า และพร้อมที่จะทำงานหรือเรียนหนังสืออย่างเต็มที่
ไม่ควรอดนอนเป็นประจำ เพราะจะทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย เกิดความเครียดสะสม จนส่งผลเสียต่อสุขภาพกายและใจ รวมไปถึงประสิทธิภาพในการเรียนและการทำงานด้วย
5. รู้จักจัดการความเครียด
การเก็บความเครียดไว้กับตัวเองมากเกินไปอาจทำให้เป็นภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล หรือขี้เกียจ ไม่อยากทำสิ่งต่างๆ ได้ ดังนั้นคุณควรหาวิธีจัดการกับความเครียด หรือระบายความเครียดออกมา
เมื่อคุณรู้สึกเครียดหรือเหนื่อยล้า ควรหาเวลาผ่อนคลายบ้าง โดยอาจเลือกทำกิจกรรมที่ชอบ เช่น ดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสือ เล่นกับสัตว์เลี้ยง หาเวลาอยู่กับตัวเอง หรือระบายความเครียดกับคนสนิทก็ได้
ข้อควรระวังในการระบายความเครียดกับผู้อื่นจะต้องดูว่า คนคนนั้นสามารถรับฟังเรื่องของเราได้หรือเปล่า หากเป็นคนที่อยู่ในช่วงเครียดเหมือนกันก็ไม่ควรที่จะไปเพิ่มความเครียดหรือสร้างความกังวลให้กับเขา
6. พกน้ำติดตัวเสมอ
ประโยชน์ของการดื่มน้ำมีมากมายหลายอย่าง และหนึ่งในนั้นคือช่วยจัดการกับความขี้เกียจหรือเหนื่อยล้าได้เป็นอย่างดี
การดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย จะทำให้ระบบการทำงานของสมองมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ช่วยให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น และกระปรี้กระเปร่า
อาการขี้เกียจอาจเป็นสัญญาณของความผิดปกติได้
ในบางครั้งอาการขี้เกียจอาจเป็นสัญญาณของความผิดปกติในร่างกายได้ หากคุณลองจัดการกับความขี้เกียจด้วยวิธีที่กล่าวไปในเบื้องต้นแล้วไม่ดีขึ้น หรือความขี้เกียจรุนแรงขึ้นจนหมดความสนใจต่อสิ่งรอบตัว ไม่มีแรงที่จะทำอะไรเลย แนะนำให้ลองปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญดู เพราะอาจเป็นสัญญาณผิดปกติของภาวะสุขภาพจิตหรือสุขภาพกายได้
ตัวอย่างภาวะสุขภาพจิตที่อาจส่งผลให้เกิดความขี้เกียจ หรือขาดแรงจูงใจในการทำงาน เช่น
- ภาวะซึมเศร้า
- ภาวะวิตกกังวลทั่วไป (Generalized Anxiety Disorder: GAD)
- ภาวะซึมเศร้าจากการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล (Seasonal Affective Disorder: SAD)
- โรคอารมณ์แปรปรวนสองขั้ว หรือโรคไบโพลาร์ (Bipolar disorder)
- ความผิดปกติที่เกิดหลังจากเจอเรื่องสะเทือนใจ (Post-traumatic Stress Disorder: PTSD)
- ภาวะเครียด
ตัวอย่างภาวะสุขภาพกายที่อาจส่งผลให้เกิดความขี้เกียจ หรือขาดแรงจูงใจในการทำงาน เช่น
- โรคโลหิตจาง
- ภาวะขาดวิตามิน
- ภาวะต่อมหมวกไตล้า
- โรคเบาหวาน
- โรคอ่อนเพลียเรื้อรัง
- โรคหัวใจ
- โรคมะเร็ง
ความขี้เกียจไม่ใช่เรื่องผิด เราทุกคนล้วนมีวันที่รู้สึกอยากผ่อนคลาย ไม่อยากทำอะไร หรืออยากอยู่เงียบๆ คนเดียว ซึ่งเราควรจัดสรรเวลาในการเรียน การทำงาน และการพักผ่อนให้สมดุล เพื่อให้มีสุขภาพกายและใจที่ดี
แต่อย่างไรก็ตาม หากการปรับเปลี่ยนความคิดหรือพยายามเรียนรู้อย่างเต็มที่แล้วก็ยังไม่ช่วยให้สนุกกับการเรียนหรืองานที่ทำได้ นั่นอาจไม่ใช่สิ่งที่เหมาะกับเรา ลองเปลี่ยนไปทำในสิ่งที่ชอบหรือให้โอกาสตัวเองในการเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ก็อาจช่วยให้คุณค้นพบตัวตนได้ง่ายขึ้น
เปรียบเทียบราคาและแพ็กเกจปรึกษาแพทย์ จากคลินิกและโรงพยาบาลใกล้คุณ และไม่พลาดทุกการอัปเดตเรื่องสุขภาพและโปรโมชันเมื่อกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android