คงปฏิเสธไม่ได้ว่า มีคนจำนวนไม่น้อยที่อยากมีผิวขาวกระจ่างใส ด้วยเหตุนี้จึงมีผลิตภัณฑ์ความงามออกมาให้ผู้บริโภคอย่างเราเลือกสรรนับไม่ถ้วน และหนึ่งในนั้นก็คือ ครีมทาผิวขาว ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้ผิวขาวกระจ่างใสนั่นเอง
ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ทำงานโดยไปลดเม็ดสีที่เรียกว่า “เมลานิน” ในผิว ซึ่งเป็นตัวที่กำหนดสีผิวของเรา ทั้งนี้เมลานินเป็นเม็ดสีที่ผลิตโดยเซลล์พิเศษที่เรียกว่า “เมลาโนไซต์” บริเวณหนังกำพร้า ซึ่งคนที่มีผิวสีเข้มจะมีเมลานินมากกว่าคนทั่วไป
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
อย่างไรก็ตาม ปริมาณของเมลานินในผิวนั้นขึ้นอยู่กับพันธุกรรม การสัมผัสกับแสงแดด และการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน เช่น จากการตั้งครรภ์หรือการรับประทานยาคุมกำเนิด ความเสียหายของผิว และการสัมผัสกับสารเคมีบางชนิด เช่น สเตียรอยด์ สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ส่งผลต่อการผลิตเมลานินทั้งสิ้น
เราพบสารชนิดใดในผลิตภัณฑ์ที่ช่วยทำให้ผิวกระจ่างใส?
ส่วนผสมที่ใช้ในผลิตภัณฑ์เพิ่มความกระจ่างใสให้ผิวที่นิยมใช้ในประเทศสหรัฐอเมริกา คือ ไฮโดรควิโนน ซึ่ง Food and Drug Administration (FDA) หรือองค์กรอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกาได้ควบคุมการใช้สารไฮโดรควิโนน โดยห้ามใส่ไฮโดรควิโนนลงในผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้ผิวกระจ่างใสที่ขายตามร้านทั่วไป
ในขณะที่แพทย์ผิวหนังสามารถสั่งจ่ายผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ผิวขาวที่มีส่วนผสมของไฮโดรควิโนนไม่เกิน 2% ในการรักษาฝ้า ทั้งนี้การตรวจสอบกับแพทย์ก่อนใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารไฮโดรควิโน และการใช้ตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดก็เป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากการใช้เป็นระยะเวลานานจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเนื้อเยื่อภายในผิวหนังทำให้เกิดเป็นฝ้าถาวรสีน้ำเงินอมดำได้
นอกจากนั้น ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้ผิวขาวยังมีการใส่สเตียรอยด์ และกรดเรติริอิกซึ่งได้มาจากวิตามินเอ รวมถึงอาจมีการใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติ เช่น กรดโคจิก (Kojic acid) ซึ่งเป็นสารประกอบที่ได้จากเชื้อรา หรืออาร์บูติน ซึ่งเป็นสารประกอบที่พบได้ในพืชหลายชนิด
ความเสี่ยงที่เกิดจากการใช้ครีมทาผิวขาว
หนึ่งในความเสี่ยงที่สำคัญที่สุดของการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้ผิวกระจ่างใส คือ สารปรอท เพราะการสะสมปรอทในผิวหนังและถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ส่งผลให้ตับและไตพิการ เกิดโรคโลหิตจางและโรคมะเร็ง เป็นต้น ซึ่งมีงานวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่า 1 ใน 4 ของผลิตภัณฑ์ครีมทาผิวขาวที่ผลิตในเอเชีย และขายนอกประเทศสหรัฐอเมริกามีสารปรอท
นอกจากนี้การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้ผิวกระจ่างใสยังทำให้เกิดความเสี่ยงอื่นๆ ดังนี้
- การใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน สามารถทำให้ผิวแก่ก่อนวัย หรืออาจทำให้ความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งผิวหนังเพิ่มขึ้น ดังนั้น จึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราควรทาครีมกันแดดเมื่อต้องอยู่ท่ามกลางแสงแดด
- สเตียรอยด์อาจเพิ่มความเสี่ยงที่ทำให้เกิดการติดเชื้อ ทำให้ผิวบาง ผดผื่นขึ้นง่าย มลภาวะและสารพิษจากภายนอกเข้าสู่ผิวชั้นหนังแท้ง่ายขึ้น เกิดสิว หรือทำให้แผลหายช้าลง
- การทาครีมที่มีสารสเตียรอยด์อาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมา เพราะสเตียรอยด์สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย
- การใช้ครีมที่มีสารไฮโดรควิโนนอาจทำให้เกิดฝ้า
- สารที่ช่วยฟอกขาวหลายชนิดสามารถทำให้ผิวระคายเคือง หรือทำให้เกิดอาการแพ้
ข้อควรระวังเมื่อใช้ครีมทาผิวขาว
- ปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้
- หลักการสังเกตผลิตภัณฑ์ผิดกฎหมายเหล่านี้ คือ ฉลากจะไม่ระบุข้อมูล ผู้ผลิต ครั้งที่ผลิต และวันเดือนปีที่ผลิต ดังนั้น เวลาซื้อเครื่องสำอางควรหลีกเลี่ยงยี่ห้อที่ไม่มีฉลากภาษาไทย ไม่แสดงผู้ผลิต วันเดือนปีที่ผลิต เป็นดีที่สุด
ทั้งนี้หากต้องการรายชื่อเครื่องสำอางที่อย. ประกาศแจ้งเตือนโดยละเอียด สามารถติดต่อสอบถามได้ที่สำนักควบคุมเครื่องสำอางและวัตถุอันตราย เบอร์โทรศัพท์ : 0 2590 7277 - 8 โทรสาร 0 2591 8468 ในเวลาราชการ และเว็บไซต์หน้าหลัก อย. www.fda.moph.go.th คลิกที่เครื่องสำอาง - ตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีสารปรอทในผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ในบางครั้งสารปรอทอาจถูกใช้เป็นชื่ออื่น เช่น คาโลเมล เมอร์คิวริก เมอร์คิวรัส หรือเมอร์คิวริโอ เป็นต้น
- ไม่ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารไฮโดรควิโนนเกิน 2% ระวังการระบุว่ามีสารไฮโดรควิโนน แต่ไม่ได้บอกปริมาณ
- หากสงสัยว่าผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ใช้อยู่หรือที่ต้องการซื้อ มีสารอันตรายต้องห้ามผสมอยู่หรือไม่ ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบสารต้องห้ามด้วยตนเองได้โดยใช้ชุดทดสอบด้านเครื่องสำอาง (Test Kit-Cosmetic) จากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ในการประกอบการตัดสินใจ
อย่างไรก็ตาม หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่คุณกำลังจะใช้ ให้คุณลองปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรเพื่อให้มั่นใจว่าปลอดภัย นอกจากการใช้ครีมทาผิวขาวที่ช่วยให้ผิวกระจ่างใสแล้ว แพทย์ผิวหนังก็อาจแนะนำทางเลือกอื่นๆ เช่น การใช้สารเคมีลอกผิว การผลัดเซลล์ผิวด้วยวิธี Microdermabrasion และการทำเลเซอร์ เป็นต้น