มะเร็งดวงตามีอยู่หลายประเภท เช่น มะเร็งจอประสาทตา (Retinoblastoma) มะเร็งต่อมน้ำเหลือง (Lymphoma) มะเร็งผิวหนังชนิดสเควมัสเซลล์ (Squamous Cell Carcinoma) และมะเร็งลูกตาเมลาโนมา (Eye Melanoma) ซึ่งในบทความนี้ จะกล่าวถึงมะเร็งดวงตาเมลาโนมาชนิดเดียว ซึ่งเป็นชนิดที่พบบ่อยมากที่สุด
เมลาโนมา (Melanoma) คือมะเร็งที่เกิดขึ้นจากเซลล์ที่ใช้ผลิตเม็ดสีที่เรียกว่า Melanocytes ภาวะเมลาโนมาส่วนมากเกิดขึ้นบนผิวหนัง แต่ก็สามารถเกิดบนส่วนอื่นของร่างกายอย่างลูกตาได้ โดยแพทย์จะเรียกภาวะนี้ว่า Uveal หรือ Choroidal Melanoma ขึ้นอยู่กับส่วนใดของลูกตาที่เกิดโรค
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
นอกจากนี้ เมลาโนมายังสามารถเกิดบนเยื่อบุตา (Conjunctiva) หรือชั้นบาง ๆ ที่ปกคลุมส่วนหน้าของลูกตา หรือบนเปลือกตาได้อีกด้วย
อาการของมะเร็งดวงตา
มะเร็งดวงตามักไม่แสดงอาการให้เห็นอย่างชัดเจน ซึ่งบางกรณีอาจตรวจพบได้ในระหว่างการตรวจดวงตาทั่วไป โดยมีอาการดังต่อไปนี้
- มองเห็นเงา กระจุกแสง หรือเส้นเคลื่อนไหวไปมา
- การมองเห็นไม่ชัดเจน
- เกิดปื้นสีคล้ำในดวงตาที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ
- การมองเห็นลดลง หรือสูญเสียการมองเห็นโดยสมบูรณ์
- ลูกตาข้างหนึ่งบวมโต
- มีก้อนเนื้อบนเปลือกตาหรือในดวงตาและมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
- มีอาการเจ็บปวดภายในหรือรอบดวงตา (หายาก)
อย่างไรก็ตาม อาการเหล่านี้อาจเกิดจากภาวะที่ดวงตาที่ไม่รุนแรงก็ได้ ไม่จำเป็นจะต้องเป็นโรคมะเร็งดวงตาเสมอไป ดังนั้นจึงควรไปพบแพทย์ทุกครั้ง หากพบความผิดปกติเกี่ยวกับดวงตา
สาเหตุของมะเร็งลูกตาเมลาโนมา
มะเร็งดวงตาเมลาโนมาเกิดขึ้นเมื่อเซลล์ผลิตเม็ดสีในดวงตาแบ่งตัวออกเร็วเกินไป จนทำให้เกิดก้อนเนื้อเยื่อขึ้นมา ซึ่งยังไม่มีข้อมูลว่าเหตุใดจึงเกิดภาวะเช่นนี้ขึ้น แต่ก็อาจมีปัจจัยหลายอย่างที่เพิ่มความเสี่ยงขึ้นได้ เช่น
- มีดวงตาสีอ่อน : ผู้ที่มีดวงตาสีฟ้า สีเทา หรือสีเขียว จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งลูกตาเมลาโนมามากกว่าผู้ที่มีดวงตาสีน้ำตาล หรือสีดำ
- มีผิวสีขาวหรือซีด : มะเร็งดวงตาเมลาโนมามักเกิดกับผู้ที่มีผิวขาว
- มีไฝผิดปกติ : หากมีไฝที่มีรูปร่างหรือมีสีที่ผิดปรกติ จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งผิวหนังและเมลาโนมาสูงขึ้น
- ใช้เตียงอบผิว : มีหลักฐานบางชิ้นที่กล่าวว่า การสัมผัสถูกรังสีอุลตร้าไวโอเล็ต (Ultraviolet (UV)) จากเตียงอบผิว จะมีความเสี่ยงต่อเมลาโนมาที่ดวงตาสูงขึ้น
- การสัมผัสถูกแสงอาทิตย์มากเกินไป : ปัจจัยนี้จะเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งผิวหนังมากขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งเมลาโนมามากขึ้นเช่นกัน
- มีอายุมาก : มักจะพบมะเร็งดวงตาเมโนลามาในผู้ที่มีอายุ 55 ปีขึ้นไป
การวินิจฉัยมะเร็งลูกตาเมลาโนมา
หากแพทย์หรือจักษุแพทย์คาดการณ์ว่าคุณมีความผิดปกติเกี่ยวกับดวงตา ก็จะมีการส่งตัวไปรับการตรวจเพิ่มเติมกับแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ ดังนี้
- การตรวจดวงตา : เพื่อตรวจโครงสร้างดวงตาอย่างละเอียด และตรวจหาความผิดปกติอื่นๆ
- การสแกนอัลตราซาวด์ที่ดวงตา : จะมีการใช้แท่งตรวจวางเหนือเปลือกตาและใช้คลื่นเสียงความถี่สูงสร้างภาพภายในดวงตาออกมา ทำให้แพทย์สามารถมองหาตำแหน่งและขนาดของเนื้องอกได้
- การตรวจจอตาด้วยการฉีดสี (Fluorescein Angiogram) : จะมีการถ่ายภาพมะเร็งด้วยการใช้กล้องชนิดพิเศษหลังการฉีดสารสีเข้าไปในกระแสเลือด เพื่อทำให้มองเห็นเนื้อร้ายชัดเจนขึ้น
บางกรณีจะมีการใช้เข็มขนาดเล็กเพื่อนำตัวอย่างเซลล์เนื้อร้ายออกมาตรวจ (Biopsy) โดยข้อมูลทางพันธุกรรมที่ได้จากเซลล์เหล่านั้น จะถูกนำไปวิเคราะห์เพื่อหาตัวบ่งชี้ของการลุกลามหรือการกลับมาของมะเร็ง
การรักษามะเร็งลูกตาเมลาโนมา
การรักษามะเร็งดวงตาเมลาโนมาจะขึ้นอยู่กับขนาดและตำแหน่งของเนื้อร้าย โดยมีเป้าหมายเพื่อบรรเทาอาการและทำให้ดวงตากลับมาใช้งานตามปกติให้ได้มากที่สุด ซึ่งมีวิธีการรักษาดังต่อไปนี้
- การฝังแร่กัมมันตรังสี (Brachytherapy) : จะมีการฝังวัสดุที่แผ่กัมมันตรังสีเข้าใกล้กับเนื้อร้ายและปล่อยทิ้งไว้นานประมาณ 1 สัปดาห์เพื่อให้วัสดุกำจัดเซลล์เนื้อร้าย
- การบำบัดรังสีภายนอก (External Radiotherapy) : จะมีการใช้เครื่องจักรปล่อยคลื่นรังสีอย่างระมัดระวังไปกำจัดเซลล์เนื้อร้าย
- การผ่าตัดกำจัดเนื้อร้ายหรือบางส่วนของดวงตา : เป็นวิธีการที่อาจนำมาใช้หากเนื้องอกมีขนาดเล็กและผู้ป่วยยังสามารถมองเห็นผ่านดวงตาข้างนั้นๆ อยู่
- การผ่าตัดกำจัดลูกตา (Enucleation) : เป็นวิธีการที่นำมาพิจารณาหากว่าเนื้อร้ายมีขนาดใหญ่ หรือผู้ป่วยสูญเสียการมองเห็นไปแล้ว โดยเบ้าตาที่นำลูกตาออกจะถูกสวมใส่ด้วยดวงตาเทียมที่มีขนาดเท่ากับดวงตาอีกข้าง