“โรคเอดส์” เป็นโรคที่คุ้นหูมานานเกือบ 30-40 ปี คนส่วนใหญ่เข้าใจว่า โรคเอดส์ คือโรคร้ายที่เป็นแล้วไม่มีทางรักษาได้ ผู้ป่วยจะเสียชีวิตอย่างทุกข์ทรมานทุกราย แต่ความจริงแล้ว การรู้เท่าทันอาการของโรคในวันที่สุขภาพยังแข็งแรง ผู้ป่วยจะสามารถดูแลตนเองและใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขได้ใกล้เคียงกับคนทั่วไป
ผู้ติดเชื้อ HIV กับผู้ป่วยเอดส์ แตกต่างกัน
ในทางการแพทย์และการสาธารณสุข “ผู้ติดเชื้อเอชไอวี” มีความหมายแตกต่างจาก “ผู้ป่วยเอดส์” แม้ว่าผู้ป่วยทั้งสองแบบจะมีการติดเชื้อโรคชนิดเดียวกัน คือ เชื้อไวรัส Human Immunodeficiency Virus หรือ เรียกสั้นๆ ว่า เชื้อเอชไอวี (HIV)
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
- “ผู้ติดเชื้อเอชไอวี” หมายถึง ผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อไวรัสเอชไอวีเข้าสู่ร่างกาย และเชื้อดังกล่าวเข้าไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งทำหน้าที่กำจัดสิ่งแปลกปลอมหรือเชื้อโรคอื่นๆ ที่เข้าสู่ร่างกาย ผู้ป่วยอาจไม่ปรากฏอาการผิดปกติใดๆ ผู้ป่วยบางรายตรวจพบว่ามีเชื้อเอชไอวีในร่างกายจากการตรวจคัดกรองสุขภาพด้วยเหตุผลอื่นๆ เช่น ตรวจเลือดก่อนรับการผ่าตัดอื่น ตรวจเลือดก่อนแต่งงาน ตรวจสุขภาพเพื่อเข้าทำงาน เป็นต้น
- “ผู้ป่วยเอดส์” หมายถึง ผู้อยู่ในภาวะที่เซลล์เม็ดเลือดขาวจำนวนมากถูกทำลายด้วยเชื้อไวรัสเอชไอวี จนส่งผลให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายลดต่ำลง ทำให้เกิดการติดเชื้อโรคอื่นๆ แทรกได้ง่าย
ระยะเวลาตั้งแต่เริ่มรับเชื้อไวรัสเอชไอวีไปจนถึงแสดงอาการของโรคเอดส์ของผู้ป่วยแต่ละคนแตกต่างกัน บางรายอาจแสดงอาการโรคเอดส์หลังการติดเชื้อไวรัสเอชไอวีนานถึง 10 ปี อาการเริ่มต้นของคนสองกลุ่มนี้จะมีความแตกต่างกัน และขึ้นอยู่กับระดับภูมิคุ้มกันของร่างกายและแบบแผนการใช้ชีวิต ว่ามีโอกาสได้รับเชื้อฉวยโอกาส (Opportunistic infections) มากเพียงใด แต่ไม่มีความแตกต่างกันของอาการแสดงระหว่างเพศชายกับเพศหญิง
อาการของผู้ติดเชื้อ HIV กับผู้ป่วยโรคเอดส์ต่างกันอย่างไร?
กลุ่มผู้ติดเชื้อเอชไอวี ที่รับเชื้อไวรัสเอชไอวีเข้าสู่ร่างกาย จะปรากฎสัญญาณเตือนในระยะเริ่มแรก แต่อาการดังกล่าวจะคล้ายกับอาการไข้หวัด ได้แก่ ไข้ เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามตัว ต่อมน้ำเหลืองที่คอโต บางรายอาจมีคลื่นไส้ อาเจียน น้ำหนักลด อาการเหล่านี้จะมีอยู่เพียง 2-3 วัน ไปจนถึง 10 สัปดาห์ จากนั้นจะหายไป ซึ่งเป็นระยะที่ร่างกายสร้างภูมิต้านทานมาทดแทน อาจทำให้ผู้ป่วยเข้าใจว่าเป็นอาการไข้หวัด แม้จะไปพบแพทย์ก็จะไม่ได้รับการตรวจเลือดหาเชื้อเอชไอวี ส่งผลให้ได้รับการตรวจวินิจฉัยและรับยาต้านไวรัสล่าช้า นอกจากนี้ผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อเอชไอวีบางรายก็ไม่ปรากฎอาการใดๆ ให้เห็น
หากมีอาการแสดงเหล่านี้ ควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษา แต่สำหรับดังนั้น บุคคลที่พิจารณาตนเองและพบว่ามีความเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อเอชไอวี เช่น มีเพศสัมพันธ์แบบไม่ปลอดภัย ฉีดยาเสพติด มีสามี ภรรยา หรือคู่นอนที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ควรให้ข้อมูลเรื่องประวัติความเสี่ยงแก่แพทย์ เนื่องจากเป็นข้อมูลสำคัญประกอบการพิจารณาเพื่อเจาะเลือดตรวจหาเชื้อไวรัสเอชไอวีอย่างแม่นยำ
ส่วนอาการเริ่มต้นของกลุ่มผู้ป่วยโรคเอดส์ มักพบว่ามีการติดเชื้อฉวยโอกาส เช่น เชื้อวัณโรค เชื้อราในสมอง นอกจากนี้ผู้ป่วยอาจมีอาการเหงื่อออกมากตอนกลางคืน ไข้สูงเรื้อรังติดต่อกันหลายสัปดาห์ ไอเรื้อรัง ท้องเสียเรื้อรัง น้ำหนักลด ปวดศีรษะอย่างรุนแรง ปวดท้อง เป็นต้น
การติดเชื้อ HIV หากรู้เร็ว ก็จะสามารถเริ่มดูแลตนเองตั้งแต่เมื่อตอนที่สุขภาพยังแข็งแรง แม้ปัจจุบันแม้ว่ายังไม่มีรักษาใดที่สามารถกำจัดเชื้อเอชไอวีให้หมดจากร่างกายผู้ติดเชื้อ แต่วิวัฒนาการของยาต้านไวรัสได้ก้าวหน้าไปมาก ส่งผลให้สามารถหยุดการแพร่กระจายของเชื้อเอชไอวีในร่างกาย และป้องกันการดำเนินโรคไปสู่ระยะโรคเอดส์ได้