ภาวะชักจากไข้สูง

เมื่ออุณหภูมิของร่างกายสูงจนเกิดกล้ามเนื้อเกิดการหดเกร็ง จะปฐาพยาบาลอย่างไร
เผยแพร่ครั้งแรก 1 มิ.ย. 2018 อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 2020 เวลาอ่านประมาณ 6 นาที
ภาวะชักจากไข้สูง

เรื่องควรรู้

ขยาย

ปิด

  • ภาวะชักจากไข้สูง คือ อาการหดตัวของกล้ามเนื้อจนเกิดการกระตุกเกร็ง มักเกิดในผู้ป่วยที่มีไข้มากกว่า 39 องศา และมักพบในผู้ป่วยเด็กมากกว่าผู้ใหญ่
  • สาเหตุของภาวะชักจากไข้สูงมักมาจากการติดเชื้อในระบบต่างๆ ของร่างกาย
  • หากคุณมีคนในครอบครัวที่เคยมีประวัติเกิดภาวะชักมาก่อน ความเสี่ยงที่คุณจะมีภาวะชักจากไข้สูงก็จะมีมากกว่า
  • การวินิจฉัยภาวะชักจากไข้สูงจะเป็นการสอบถามประวัติสุขภาพของผู้ป่วย และอาจมีการตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ กรวดน้ำไขสันหลัง ซึ่งหากผู้ดูแลมีการสังเกต และบันทึกลักษณะการชักของผู้ป่วยไว้ ก็จะเป็นประโยชน์ต่อการรักษามากขึ้น
  • ภาวะชักสามารถส่งผลต่อพัฒนาการทางสมองของผู้ป่วยเด็กได้ หากสังเกตว่า เด็กๆ ในบ้านมีอาการไข้ขึ้น ให้รีบปฐมพยาบาลเพื่อให้ลดอุณหภูมิร่างกายก่อนจะเสี่ยงเกิดอาการชัก และหมั่นพาเด็กไปตรวจสุขภาพกับแพทย์ด้วย (ดูแพ็กเกจตรวจสุขภาพ หรือฉีดวัคซีนเด็กได้ที่นี่)

อาการชักจากไข้สูง ถือเป็นภาวะอันตรายที่พบมากในผู้ป่วยเด็ก ซึ่งผู้ปกครองจะต้องคอยระมัดระวัง และสังเกตอาการของเด็กว่าเสี่ยงทำให้เกิดอาการชักหรือไม่

แต่ภาวะชักจากไข้สูงมีปัจจัยอะไรที่ทำให้เกิดบ้าง แล้วมีวิธีรักษาได้อย่างไร มาลองอ่านพร้อมๆ กัน

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!

จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง

ความหมายของภาวะชักจากไข้สูง

ภาวะชักจากไข้สูง (Febrile convulsion) คือ อาการเกร็ง หรือกระตุกทั้งตัว ซึ่งเกิดจากการหดตัวของกล้ามเนื้อเมื่อผู้ป่วยมีไข้สูงมากกว่า 39 องศาเซลเซียส มักพบในเด็กอายุ 6 เดือนถึง 6 ขวบ แต่จะพบมากที่สุดในเด็กอายุ 1-2 ขวบ

สำหรับสาเหตุที่ภาวะชักมักเกิดในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ นั่นก็เพราะสมองของเด็กโดยเฉพาะในช่วงอายุ 3 ขวบแรกกำลังเจริญเติบโต ศูนย์ควบคุมอุณหภูมิสมองในสมองเด็กจึงไวต่อการกระตุ้นทำให้เกิดภาวะชักได้มากกว่า

อาการของภาวะชักจากไข้สูง

ในเบื้องต้น ให้คุณวัดไข้เด็กก่อนว่า มีอุณหภูมิร่างกายเท่าไร ซึ่งหากมากกว่า 38.5 องศาเซลเซียส ก็ถือว่าเสี่ยงเกิดอาการชักได้

นอกจากนี้ เด็กที่มีไข้สูงจะตัวร้อน เหงื่อออก รู้สึกหนาวสั่น เบื่ออาหาร อ่อนเพลียมาก อัตราการเต้นของหัวใจ และการหายใจเพิ่มขึ้น

เมื่ออุณหภูมิร่างกายของเด็กสูงขึ้น จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงของกระบวนการเมตาบอลิซึมในเซลล์ประสาท ส่งผลให้เด็กเกิดภาวะชักขึ้น โดยจะมีลักษณะอาการต่อไปนี้

  • เกิดอาการเกร็งกระตุก
  • ไม่รู้สึกตัว
  • กล้ามเนื้อใบหน้า แขน ขา และส่วนอื่นๆ บิดเกร็ง สั่น
  • ตากลอกไปข้างหลัง
  • น้ำลายฟูมปาก
  • กัดฟันแน่น
  • หายใจลำบาก หรืออาจหยุดหายใจไปประมาณ 30 วินาที ซึ่งจะทำให้เกิดอาการตัวเขียวขึ้น
  • หลายรายมักไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะ หรืออุจจาระได้

สาเหตุของภาวะชักจากไข้สูง

หลายคนมักเข้าใจผิดว่า ภาวะชักต้องเกี่ยวข้องกับระบบสมอง หรือระบบประสาท ซึ่งความจริงแล้วเป็นเรื่องเข้าใจผิด เพราะภาวะชักจากไข้สูงมักมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อในระบบต่างๆ ของร่างกายมากกว่า เช่น

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*

แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท

  • การติดเชื้อแบคทีเรีย ในระบบทางเดินหายใจ เช่น โรคปอดอักเสบ โรคหลอดลมอักเสบ
  • หูชั้นกลางอักเสบ
  • โรคกระเพาะอาหารอักเสบ
  • โรคลำไส้อักเสบ
  • ต่อมทอนซิลอักเสบ
  • การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ
  • โรคไข้เลือดออก
  • โรคไข้หวัดใหญ่
  • โรคไข้ไทฟอยด์
  • โรคอีสุกอีใส
  • อาการต่อมน้ำเหลืองโต
  • โรคมะเร็ง

นอกจากนี้ ผู้ป่วยมีประวัติคนในครอบครัว หรือญาติสายตรง (พ่อ แม่ พี่สาวหรือน้องชาย) ที่มีประวัติอาการชักจากไข้มาก่อน ความเสี่ยงต่อการเกิดอาการชักจากไข้ก็จะเพิ่มขึ้น

ประเภทของภาวะชักจากไข้สูง

ภาวะชักจากไข้สูงแบ่งออกได้ 2 ประเภท ได้แก่

1. ภาวะชักจากไข้ชนิดไม่ซับซ้อน (Simple febrile convulsion) เป็นภาวะชักที่พบได้มากที่สุด โดยจะมีลักษณะดังนี้ คือ

  • ก่อนเกิดภาวะชัก ระบบประสาทกับพัฒนาการของผู้ป่วยยังไม่มีลักษณะผิดปกติ
  • ระยะเวลาอาการชักมักจะไม่เกิน 15 นาที
  • ลักษณะการชักจะชักแบบทั้งตัว (Tonic-clonic seizure)
  • ภายหลังการชักจะไม่พบความผิดปกติของระบบประสาท และคลื่นสมอง
  • ผู้ป่วยมักมีประวัติคนในครอบครัวมีภาวะชักจากไข้สูงเช่นเดียวกัน

2. ภาวะชักจากไข้ชนิดซับซ้อน (Complex febrile convulsion) เป็นภาวะชักชนิดพบได้น้อย โดยจะมีลักษณะดังนี้

  • ก่อนเกิดอาการชัก ระบบประสาท และพัฒนาการผู้ป่วยจะมีลักษณะผิดปกติ
  • ระยะเวลาอาการชักมักนานกว่า 10-15 นาที และอาจมีอาการชักซ้ำอีกครั้งภายใน 24 ชั่วโมง
  • ลักษณะอาการชักเป็นแบบเฉพาะที่ หรืออาจชักทั้งตัวก็ได้
  • ร่างกายไม่สามารถกลับมาฟื้นฟูเป็นปกติได้หลังชักภายใน 1 ชั่วโมง
  • ภายหลังการชัก จะพบว่า ระบบประสาทเกิดมีความผิดปกติ เช่น เป็นอัมพาต
  • เด็กอาจเริ่มชักครั้งแรกได้ตั้งแต่อายุน้อยกว่า 6 เดือน หรือเด็กอายุมากกว่า 3 ขวบก็อาจชักชนิดนี้ได้
  • มีประวัติคนในครอบครัวมีลมชักแบบลมบ้าหมู

สำหรับปัจจัยที่อาจทำให้เด็กเกิดภาวะชักซ้ำได้อีกครั้ง ได้แก่ ไข้สูงกว่า 39 องศาเซลเซียส อายุซึ่งยิ่งน้อยก็จะยิ่งมีโอกาสชักซ้ำมากกว่า ความบกพร่องของระบบประสาท หรือมีพัฒนาการช้า

ช่วงเวลาที่ชักก็เป็นปัจจัยทำให้เกิดภาวะชักซ้ำได้ โดยเด็กที่ชักขณะหลับมักจะมีโอกาสชักซ้ำกว่าเด็กที่ชักขณะตื่น รวมถึงหากเด็กมีประวัติคนในครอบครัวมีภาวะชักขณะไม่มีไข้ ก็มีโอกาสชักซ้ำได้มากกว่า

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*

แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท

การปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อเด็กเกิดภาวะชัก

อย่างแรกที่ผู้ปกครองจะต้องทำ คือ ตั้งสติ อย่าตื่นตระหนก แล้วรีบทำตามคำแนะนำต่อไปนี้

  • จับเด็กให้นอนราบหันตะแคงไปด้านใดด้านหนึ่ง เพื่อไม่ให้เด็กสำลักน้ำลาย และเปิดทางเดินหายใจให้โล่ง
  • รีบเคลื่อนย้ายของมีคม สิ่งที่อาจกระแทก หรือทำให้เด็กบาดเจ็บออกไปให้ห่างตัว
  • ถอดเสื้อผ้าเด็กออกเพื่อให้ง่ายต่อการลดอุณหภูมิร่างกาย
  • หากเด็กมีอาการอาเจียน ให้ล้วงออกให้หมด แต่ระมัดระวังอย่าให้เด็กสำลัก
  • ไม่ต้องจับเด็กตรึงไว้กับที่ แต่ให้ประคองตัวเด็กไว้ในระหว่างที่ชักก็พอ ทางที่ดีให้จับเวลาด้วยว่า ระยะเวลาที่เด็กชักนานเท่าไร ลักษณะการชัก ระดับความรู้สึก และการรับรู้ของเด็กขณะชัก
  • ระหว่างที่เด็กชัก ให้งดรับประทานอาหารทุกชนิด รวมถึงน้ำด้วย
  • เช็ดตัวเด็กด้วยน้ำอุ่น และให้ลองกดนวดตัวเด็กในระหว่างเช็ดด้วยเพื่อกระตุ้นระบบไหลเวียนเลือด
  • ห้ามเอาวัตถุเข้าปากเด็กเพื่อป้องกันการกัดลิ้น แม้แต่ยาก็ห้าม เพราะเด็กอาจเกิดอาการบาดเจ็บในช่องปาก

หากเด็กมีอาการชักนานเกิน 5 นาที ให้ติดต่อแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลทันที และหากเด็กมีอาการหน้าเขียวเกิดขึ้นระหว่างชักเล็กน้อย ก็อย่าเพิ่งตกใจ เพราะเป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นได้ระหว่างเกิดภาวะชัก

และหลังจากเด็กหยุดชักแล้ว หากมีอาการตกใจ ให้ผู้ดูแล หรือพ่อแม่ปลอบโยนเด็กให้คลายความวิตกกังวล และผู้ที่อยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยก็ควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับอาการชัก รวมถึงวิธีปฐมพยาบาลกันทุกคนด้วย

การวินิจฉัยภาวะชักจากไข้สูง

ในเบื้องต้น แพทย์จะสอบถามประวัติสุขภาพของผู้ป่วยก่อน และหากผู้ใกล้ชิดผู้ป่วยได้จดรายละเอียดภาวะชักของผู้ป่วยได้ด้วย ก็จะยิ่งเป็นประโยชน์ต่อการวินิจฉัย เช่น

  • อาการชักครั้งสุดท้ายเป็นนานแค่ไหนจึงจะหยุดชัก
  • มีอาการอะไรเกิดขึ้นบ้าง เช่น ตัวแข็ง การกระตุกของใบหน้า แขน และขา อาการจ้องมองไปในอากาศ ลักษณะการกลอกตา และการหมดสติ
  • ผู้ป่วยฟื้นตัวจากอาการชักภายในหนึ่งชั่วโมงหรือไม่
  • ผู้ป่วยคุณเคยมีอาการชักมาก่อนหรือไม่

นอกจากนี้ แพทย์อาจสอบถามถึงการเลี้ยงดู วิถีการใช้ชีวิตของผู้ป่วย สิ่งแวดล้อมรอบตัวเพื่อประเมินโอกาสการติดเชื้อโรคต่างๆ ที่นำไปสู่การเกิดภาวะชัดด้วย

จากนั้นแพทย์จะเริ่มตรวจร่างกายโดยเฉพาะระบบประสาทอย่างละเอียด เพื่อแยกโรคเกี่ยวกับระบบประสาท หรือทางสมอง เช่น โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ โรคไข้สมองอักเสบ

ซึ่งหากตรวจพบว่า เด็กมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อในสมอง หรือระบบประสาท แพทย์จะตรวจโดยการเจาะน้ำไขสันหลัง (Lumbar puncture) ซึ่งจะมีการฉีดยาชาเฉพาะที่ แล้วใช้เข็มเจาะบริเวณฐานของกระดูกสันหลังเพื่อดูดตัวอย่างน้ำไขสันหลังออกมา

นอกจากนี้ แพทย์อาจให้ผู้ป่วยตรวจเลือด และปัสสาวะเพื่อหาสาเหตุของการติดเชื้อ และตรวจหาเกลือแร่ในเลือด รวมถึงอาจให้ตรวจคลื่นสมอง (Electroencephalography: EEG) ในกรณีที่ผู้ป่วยชักบ่อย

การรักษาภาวะชักจากไข้สูง

การรักษาภาวะชักจากไข้สูงแบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ

1. ระยะที่กำลังมีอาการชัก มีจุดมุ่งหมาย คือ ทำให้ผู้ป่วยหยุดชักโดยเร็วที่สุด โดยแพทย์จะให้ยาไดอาซีแพม (Diazepam) เข้าทางเส้นเลือดประมาณ 0.2-0.3 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ทุกๆ 15 นาทีหากยังไม่หยุดชัก

2. ระยะหลังจากหยุดชัก แพทย์จะตรวจร่างกาย หาปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดอาการชักซ้ำ และซักประวัติเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุของอาการชัก และทำการรักษาต่อไป

คุณสามารถให้ผู้ป่วยรับประทานยาลดไข้อย่างพาราเซตามอล (Paracetamol) หรือยาไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) เพื่อลดไข้ได้ แต่ยานี้ไม่ได้มีส่วนช่วยลดโอกาสทำให้ชักน้อยลงแต่อย่างใด

การดูแลผู้ป่วยที่มีภาวะชักจากไข้สูง

เพื่อป้องกันภาวะชัก คุณต้องดูแลไม่ให้ผู้ป่วยมีไข้สูงขึ้นจนเกิดความเสี่ยง และเพื่อให้ง่ายต่อการดูแลรักษาเองด้วย มิฉะนั้น ทั้งผู้ดูแล คนในครอบครัว ผู้อยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยก็จะต้องวิตกกังวลเรื่องภาวะชักอยู่ตลอด

คุณสามารถปฏิบัติตามคำแนะนำในการดูแลผู้ป่วยได้ ดังต่อไปนี้

  • ดูแลไม่ให้ผู้ป่วยใส่เสื้อผ้าที่รัด หรือหนาเกินไป เพื่อให้ร่างกายได้ระบายอุณหภูมิความร้อนได้
  • เช็ดตัวผู้ป่วยด้วยน้ำธรรมดา หรือน้ำอุ่น หากคุณไม่รู้วิธีเช็ดตัวอย่างถูกต้อง ควรลองสอบถาม หรือขอให้พยาบาลสาธิตให้ดู
  • ให้ผู้ป่วยรับประทานยาลดไข้
  • วัดสัญญาณชีพผู้ป่วยทุก 4 ชั่วโมง
  • เตรียมไม้กดลิ้นไว้ข้างเตียงสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการชักเกร็ง แต่ควรสอบถามแพทย์ หรือพยาบาลเกี่ยวกับวิธีใช้อย่างถูกต้องด้วย
  • ไม่วางสิ่งของใกล้ตัวผู้ป่วยจนรก แต่ควรจัดสิ่งแวดล้อมรอบเตียงให้ดูโล่งสบายตา เมื่อผู้ป่วยเกิดภาวะชัก ก็จะช่วยให้ไม่เกิดอุบัติเหตุขึ้นด้วย
  • ให้ผู้ป่วยดื่มน้ำให้เพียงพอ ข้อนี้เป็นสิ่งสำคัญมาก หรือหากต้องให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ ก็ต้องให้ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับสารอย่างเพียงพอตามแผนการรักษา
  • อย่าปล่อยให้ผู้ป่วยอ่อนเพลีย และต้องพักผ่อนอย่างเพียงพอ
  • ยกไม้กั้นเตียงขึ้นทุกครั้งเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยตกเตียงเมื่อเกิดภาวะชัก

ภาวะชักสามารถส่งผลต่อระบบประสาท และพัฒนาการของผู้ป่วย โดยเฉพาะผู้ป่วยเด็กที่สมองกำลังเติบโต ภาวะนี้อาจเป็นผลให้เด็กมีพัฒนาการช้ากว่าปกติได้ ทั้งยังทำให้สุขภาพจิตของพ่อแม่ ผู้อยู่ใกล้ชิดวิตกกังวลไปด้วย

เมื่อคุณสังเกตเห็นว่า คนใกล้ชิดมีอาการไข้สูง ให้รีบปฐมพยาบาลเพื่อลดอุณหภูมิร่างกายทันที จะได้ลดความเสี่ยงการเกิดภาวะชัก และยังทำให้อาการเจ็บป่วยหายได้เร็วขึ้นด้วย

ดูแพ็กเกจตรวจสุขภาพ หรือฉีดวัคซีนเด็ก เปรียบเทียบราคา โปรโมชั่นล่าสุดจากโรงพยาบาลและคลินิกชั้นนำได้ที่นี่ หรือไม่พลาดทุกการอัปเดตแพ็กเกจต่างๆ เมื่อกดเป็นเพื่อนทางไลน์ @hdcoth และกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android


21 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่
What is a febrile seizure or febrile convulsion?. Medical News Today. (https://www.medicalnewstoday.com/articles/168010)
Febrile seizures: an overview. National Center for Biotechnology Information. (https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC6052913/)

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)

บทความต่อไป
อาหารต้านเชื้อราแคนดิดา (Candida Diet)
อาหารต้านเชื้อราแคนดิดา (Candida Diet)

หากจำนวนเชื้อราแคนดิดาในร่างกายมีมากเกินไป อาจนำไปสู่การติดเชื้อที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้

อ่านเพิ่ม
10 วิธีหยุดอาการกรดไหลย้อนด้วยตนเอง
10 วิธีหยุดอาการกรดไหลย้อนด้วยตนเอง

หยุดอาการแสบร้อนยอดอก หยุดกรดไหลย้อน คุณทำได้ด้วยตนเองตามคำแนะนำนี้

อ่านเพิ่ม
มาตรฐาน การอบประคบสมุนไพร : การอบสมุนไพร
มาตรฐาน การอบประคบสมุนไพร : การอบสมุนไพร

ภูมิปัญญาไทยที่ทรงคุณค่า บรรเทาอาการเจ็บป่วย รักษาโรค และบำรุงสุขภาพได้ หากใช้อย่างถูกวิธี

อ่านเพิ่ม