แม้ว่าโรคลมชักจะเป็นหนึ่งในความผิดปกติของระบบประสาทที่พบได้บ่อย แต่มันก็ยังเป็นโรคที่ทุกคนหวาดกลัวและมีความเข้าใจผิดอยู่มาก ในผู้ป่วยโรคลมชักนั้นจะมีการส่งผ่านกระแสประสาทในสมองที่ผิดปกติไปซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีในสมอง ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าที่ผิดปกติและกระตุ้นให้เกิดอาการชัก
มีการประมาณคร่าว ๆ ว่าจะมีประชากร 1 ในทุก ๆ 200 คนที่จะมีอาการชักอย่างน้อย 1 ครั้งตลอดชีวิต อาการชักนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ทุกขณะ แต่มักจะพบบ่อยในช่วง 20 ปีแรกของชีวิตและในผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคลมชักมากกว่าครึ่งนั้นเริ่มมีอาการครั้งแรกเมื่ออายุน้อยกว่า 15 ปี
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
อาการชักเรื้อรังนั้นใช้เรียกอาการชักที่เกิดขึ้นยาวนานต่อเนื่องมากกว่า 5 ปี ผู้ชายมักจะมีแนวโน้มมากกว่าผู้หญิง และกลุ่มผู้ที่มีความผิดปกติด้านการเรียนรู้นั้นจะมีโอกาสเกิดโรคมากกว่าคนปกติประมาณ 30%
สาเหตุของการเกิดโรคลมชัก
ผู้ป่วยประมาณ 60% นั้นไม่สามารถระบุสาเหตุได้ สำหรับอีก 40% ที่เหลือนั้นมีอาการชักซึ่งมีสาเหตุมาจากสมอง ส่วนหนึ่งอาจเกี่ยวข้องกับอายุที่เพิ่มขึ้นแต่ยังอาจเกี่ยวข้องกับสาเหตุอื่น เช่น
- การได้รับการกระทบกระเทือนที่สมอง
- เนื้องอกในสมอง
- การติดเชื้อ
- โรคที่เกิดขึ้นกับเส้นเลือดในสมองและการมีเลือดออกในสมอง
อาการชักในทารกมักแสดงถึงการทำลายสมองซึ่งเกิดขึ้นก่อนหรือขณะคลอด นอกจากนั้นยังมีบางหลักฐานที่สนับสนุนว่าโรคลมชักนั้นอาจมีการถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้
การใช้แอลกอฮอล์และยาเสพติดนั้นอาจทำให้เกิดอาการชักได้เช่นเดียวกัน
ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดอาการชัก
อาการชักสามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่มีสัญญาณเตือนใด ๆ หลายครั้งที่มักจะมีปัจจัยกระตุ้น เช่น
- นอนหลับไม่เพียงพอ
- แอลกอฮอล์ โดยเฉพาะหากเกี่ยวข้องกับการนอนไม่พอ
- ความเครียด
- ไวต่อแสง เช่น แสงแฟลช เป็นต้น
การทดสอบเพื่อวินิจฉัยโรคลมชัก
ต้องเข้าใจก่อนว่าทุกคนมีโอกาสที่จะเกิดอาการชักและบางครั้งอาจมีภาวะอื่น ๆ ที่เกิดอาการที่คล้ายกับโรคลมชักได้ การวินิจฉัยมักจะเกิดขึ้นจากการสังเกตและระบุสภาพแวดล้อมที่ผิดปกติ เช่น ความหิว กระหายน้ำ ความเครียด สุขภาพโดยรวม ประวัติครอบครัว และประวัติโรคประจำตัว การทดสอบที่อาจส่งเพื่อช่วยในการวินิจฉัยนั้นประกอบด้วย
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
- Electroencephalogram (EEG) เป็นการวัดคลื่นการทำงานของสมอง
- Video telemetry เป็นการสังเกตผู้ป่วยผ่านการถ่ายวิดีโอที่บันทึกภาพไว้ต่อเนื่อง
- การตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI)
- การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ของสมอง
- การตรวจเลือด
- Cerebral angiography เป็นการตรวจหาความผิดปกติของหลอดเลือด
- Echoencephalogram ใช้เพื่อตรวจหาความผิดปกติของโครงสร้างในสมอง
- Skull roentgenogram เพื่อหากระดูกแตก กระดูกที่กร่อน หรือการสะสมของแคลเซียมผิดปกติ
ยาที่ใช้ในการรักษาโรคลมชัก
หากมีอาการชักเพียง 1 ครั้งอาจไม่จำเป็นต้องรับการรักษาแต่หากเกิดการชักซ้ำนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้ารับการรักษา ในยุคก่อนปี 1970 มีวิธีการรักษาที่เรียกว่า polytherapy คือการใช้ยาร่วมกันหลายชนิด
แต่ในปัจจุบันการรักษาแบบ monotherapy หรือการใช้ยาเพียงชนิดเดียวนั้นได้รับการยอมรับมากขึ้นโดยจะเลือกใช้ยาจากการตรวจและการวินิจฉัยผู้ป่วย ยากันชักสามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม
ยากันชักประกอบด้วย Ethosuximide, phenytoin, lamotrigine, carbamazepine, sodium valproate, piracetam, primidone, acetazolamide, clobazam, clonazepam, gabapentin, phenobarbitone, vigabatrin
แหล่งข้อมูลของบทความ : ศูนย์ป้องกันและควบคุมโรค