พ่อแม่ที่กำลังเข้าสู่ช่วงการวินิจฉัยภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้นั้นอาจจะพบกับเครื่องมือที่ใช้ในการทดสอบจำนวนมาก รวมทั้งทฤษฎีเกี่ยวกับการเรียนรู้และอีกหลายอย่าง ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีระบบในการวินิจฉัยภาวะนี้ที่แตกต่างกันอีกด้วย การวินิจฉัยภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้นั้นไม่ได้ใช้วิทยาศาสตร์โดยตรง ผู้เชี่ยวชาญบางคนก็ไม่เห็นด้วยกับวิธีที่ดีที่สุดในการระบุว่ามีภาวะนี้จริงหรือไม่
ทำไมเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่ชวนให้สับสน ?
- ประการแรก คือ มีระบบในการวินิจฉัยที่ใช้อยู่หลายระบบ วิธีการและมาตรฐานที่ใช้วินิจฉัยภาวะนี้ในโรงเรียนรัฐบาลนั้นแตกต่างจากที่ทำโดยผู้ประเมินในภาคเอกชน
- ประการที่สอง มีความแตกต่างในการวินิจฉัยภาวะนี้ในโรงเรียนรัฐบาลและนอกโรงเรียน ผู้ประเมินในโรงเรียนและภาคเอกชนนั้นอยู่ภายใต้หน่วยงานของภาครัฐที่แตกต่างกัน มีผู้บริหารและกฎระเบียบที่ระบุถึงภาวะนี้ไว้แตกต่างกัน
- กฎหมายว่าด้วยผู้ที่มีความบกพร่องทางการศึกษาได้ควบคุมการวินิจฉัยภาวะนี้และความผิดปกติอื่น ๆ ที่พบในโรงเรียนรัฐบาลโดยทั่วไป และในส่วนข้อกำหนดเฉพาะอื่น ๆ นั้นเป็นหน้าที่ของรัฐในการให้คำนิยาม ทำให้เกณฑ์ในการวินิจฉัยนั้นมีความแตกต่างกันในแต่ละรัฐ เด็กที่เข้าข่ายว่ามีภาวะนี้ในรัฐหนึ่งอาจไม่เข้าเกณฑ์ในอีกรัฐหนึ่งได้ ซึ่งส่งผลต่อครอบครัวที่มีการย้ายจากรัฐหนึ่งไปอีกรัฐหนึ่ง
- ข้อกำหนดและระบบในการวินิจฉัยที่ควบคุมผู้ประเมินในภาคเอกชน เช่น นักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์ที่ขึ้นทะเบียนนั้นระบุรายละเอียดน้อยกว่าทางภาครัฐด้วยซ้ำ ตัวอย่างเช่น คู่มือการวินิจฉัยและประเมินภาวะความผิดปกติทางจิต (The Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders – DSM) นั้นก็มักใช้เกณฑ์เชิงคุณภาพมากกว่าวิธีทางสถิติ ทำให้ความเห็นของผู้ประเมินนั้นมีความสำคัญมากกว่าระบบในการวินิจฉัยภาวะนี้
- โดยส่วนมาก ภาวะบกพร่องทางการเรียนที่ได้รับการประเมินจากภาครัฐนั้นใกล้เคียงกันเมื่อเปรียบเทียบกับแต่ละโรงเรียนภายในรัฐเดียวกัน แต่ก็อาจจะไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป
- แต่ละรัฐอาจมีมาตรฐานและการปฏิบัติในการวินิจฉัยภาวะนี้ที่แตกต่างกัน ทำให้มีโอกาสที่เด็กที่ผ่านเกณฑ์ในรัฐหนึ่งอาจไม่ผ่านเกณฑ์ในอีกรัฐได้ ระบบโรงเรียนรัฐบาลนั้นมักใช้เกณฑ์เหล่านี้ร่วมกัน
- การประเมินอย่างเป็นทางการ โดยใช้ความแตกต่างระหว่างผลสำเร็จทางการเรียนเพื่อกำหนดว่ามีความบกพร่องทางการเรียนรู้หรือไม่ รวมทั้งความรุนแรงของภาวะนี้
- วิธีในการตอบสนองต่อการแก้ไข หากภาวะนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาในการเรียนของเด็ก
- ผู้ประเมินในภาคเอกชนมักใช้คู่มือในการวินิจฉัยและสถิติ (Diagnostic and Statistical Manual – DSM-IV) หรือระบบ International Statistical Classifications of Diseases (ICD-10) เป็นเกณฑ์ในการวินิจฉัยภาวะนี้
- ทั้งระบบ ICD และ DSM นั้นให้น้ำหนักกับความเห็นของผู้ประเมินอย่างมาก ซึ่งอาจมีความแตกต่างระหว่างผู้ประเมินแต่ละคน คำศัพท์ที่ใช้เรียกและอธิบายภาวะนี้ในระบบดังกล่าวก็มีความแตกต่างจากที่ใช้ในโรงเรียนรัฐบาล
จากความหลากหลายในระบบการวินิจฉัยทำให้พ่อแม่บางคนอาจสงสัยว่าระบบไหนจะเป็นระบบที่ดีและแม่นยำที่สุด นอกจากนั้นพวกเขาอาจจะสงสัยว่าพวกเขาควรจะมองหาผู้ประเมินที่นอกเหนือไปจากโรงเรียนหรือเข้ารับการประเมินกับผู้ประเมินในภาคเอกชนหรือไม่ คำตอบของคำถามเหล่านี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของแต่ละบุคคล หากคุณต้องการรู้ว่าลูกของคุณจะเข้าเกณฑ์ที่จะได้รับการศึกษาพิเศษหรือไม่ การเข้ารับการประเมินผ่านโรงเรียนนั้นอาจจะดีกว่าเนื่องจากผลที่ได้นั้นจะรับรองได้ว่ามันเข้ากับกฎของโรงเรียน อย่างไรก็ตาม ผู้ประเมินภายนอกโรงเรียนอาจสงสัยว่ามีความบกพร่องเกิดขึ้นและอาจให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อเจ้าหน้าที่ผู้ประเมินของโรงเรียนซึ่งอาจไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้นได้ ตัวอย่างเช่น วิธี Augmentative Communication นั้นเป็นการประเมินแบบเฉพาะด้านซึ่งอาจต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญในด้านนั้น ๆ พ่อแม่ควรรู้ว่าโรงเรียนอาจจะพิจารณาข้อมูลที่มาจากการประเมินภายนอกเพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจเช่นกัน
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
เมื่อไหร่จึงจะสามารถวินิจฉัยภาวะความบกพร่องทางการเรียนรู้ได้ ?
- กฎหมายว่าด้วยผู้ที่มีความบกพร่องทางการศึกษา (IDEA) นั้นระบุว่าภาวะนี้ไม่สามารถวินิจฉัยได้อย่างแม่นยำจนกว่าเด็กนักเรียนจะได้รับการสอนในวิชาพื้นฐานอย่างเป็นทางการ
- นักจิตวิทยาส่วนใหญ่แนะนำให้รอจนกระทั่งเด็กมีอายุอย่างน้อย 6 ปีก่อนที่จะประเมินความฉลาดทางสติปัญญาเพื่อให้ได้ผลการทดสอบที่แม่นยำ
- เด็กนักเรียนจากชนกลุ่มน้อยที่มีความแตกต่างทางวัฒนธรรม เศรษฐกิจ และสังคมอาจได้รับประโยชน์จากการได้รับการศึกษาอย่างน้อย 2 ปีก่อนที่จะเข้ารับการทดสอบ นอกจากนั้นกฎนี้ยังอาจใช้ได้ในผู้ที่เพิ่งเริ่มเรียนภาษาอังกฤษอีกด้วย นี่จะช่วยลดผลของความแตกต่างที่เกิดจากวัฒนธรรมและภาษาที่มีความแตกต่างในการทดสอบ โรงเรียนมักจะให้พ่อแม่ของเด็กนักเรียนที่เพิ่งเรียนภาษาอังกฤษมีส่วนร่วมในกระบวนการดังกล่าวเพื่อให้ได้ผลที่เหมาะสมที่สุด
- หากพ้นช่วงเวลาดังกล่าวไปแล้ว การทดสอบความสำเร็จทางการเรียนนั้นจะมีความน่าเชื่อถือมากกว่า