ทุกคนน่าจะเคยผ่านประสบการณ์ความเศร้า ความสูญเสีย บางครั้งช่วงเวลาเหล่านั้นกินเวลายาวนาน และความรู้สึกก็รุนแรง จนบางคนอาจเคยสงสัยว่าที่ตัวเองเป็นอยู่นี้เป็นความเศร้าเสียใจธรรมดา หรือเป็นโรคซึมเศร้ากันแน่
แม้จะมีการเผยแพร่ความรู้ในวงกว้างว่า หากรู้สึกทางลบและต้องการคำปรึกษาหรือวิธีแก้ไขที่ถูกต้อง ให้ปรึกษาจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา แต่สำหรับบางคน การไปพบผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นถือเป็นเรื่องใหญ่ จึงต้องการหาข้อมูลให้แน่ใจเสียก่อนที่จะตัดสินใจไป
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
บทความนี้จะอธิบายเกี่ยวกับโรคซึมเศร้าและการรักษา เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับการตัดสินใจ
โรคซึมเศร้าคืออะไร?
โรคซึมเศร้าเป็นโรคที่ผู้ป่วยจะเกิดความรู้สึกทางลบ เช่น รู้สึกเศร้า หมดแรง หรือเครียด จนส่งผลในทางที่ไม่ดีกับอารมณ์ ความคิด ความรู้สึก และพฤติกรรม แล้วทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ เช่น
- อารมณ์แปรปรวนบ่อย
- หมดความสนใจในกิจกรรมที่ตนเองชอบทำ
- ปลีกตัวจากสังคม
- มีความคิดในแง่ลบ รู้สึกว่า ตนเองไม่มีค่า
- รับประทานาอาหารได้น้อยลง หรืออยากอาหารมากกว่าปกติ
- นอนไม่หลับ หรือนอนหลับไม่สนิท
อย่างไรก็ตาม โรคซึมเศร้าเป็นเพียงความเจ็บป่วยทางจิตใจอย่างหนึ่งเท่านั้น ที่สามารถรักษาเยียวยาให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติได้ไม่ต่างกับความเจ็บป่วยทางกาย
โรคซึมเศร้าต่างจากอารมณ์เศร้าโดยทั่วไปอย่างไร?
การพบเจอเหตุการณ์สูญเสียในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการตกงาน สูญเสียคนรัก หรือมีปัญหาความสัมพันธ์ ต่างก็นำมาสู่ความรู้สึกเศร้า แต่ความเศร้าที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์เหล่านี้มีความแตกต่างกับโรคซึมเศร้า
ความเศร้าที่เกิดจากการสูญเสียเป็นกระบวนการตามธรรมชาติของมนุษย์ ซึ่งจะมีระยะเวลาของความเสียใจสั้นยาวแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล
แต่โรคซึมเศร้านั้น เมื่อรู้สึกเสียใจ ผู้ป่วยจะมีความรู้สึกโศกเศร้าที่เข้มข้นกว่า และจมอยู่กับความรู้สึกนั้นจนไม่สามารถทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันที่เป็นปกติของตนเองได้
ปรึกษาสุขภาพจิต วันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 882 บาท ลดสูงสุด 51%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
หากสงสัยว่าตอนนี้ตนเองแค่อยู่ในอาการเศร้า หรือเป็นโรคซึมเศร้ากันแน่ ลองสังเกตตนเองว่ามีอาการดังนี้หรือไม่
- เมื่อเกิดความสูญเสีย คุณมีความรู้สึกจมดิ่งกับความรู้สึกเศร้า หมดความสนใจในกิจกรรมที่ตนเองชอบเป็นระยะเวลายาวนานกว่า 2 สัปดาห์
- คุณรู้สึกหมดคุณค่า รู้สึกไม่ภูมิใจ ไม่ชอบตนเอง หรือรู้สึกไม่เคารพตนเองอย่างรุนแรง
หากคุณกำลังเผชิญอยู่กับทั้งสองข้อนี้ นี่เป็นหนึ่งในสัญญาณของโรคซึมเศร้า
อาการของโรคซึมเศร้า
นอกจากอาการที่กล่าวไปข้างต้นในส่วนของความหมายโรคซึมเศร้า ยังมีอาการอื่นๆ ของโรคนี้ที่คุณสามารถสังเกตได้อีก โดยผู้ป่วยโรคซึมเศร้าจะมีอาการด้านล่างนี้ติดต่อกันยาวนานเป็นระยะเวลามากกว่า 2 สัปดาห์ (แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นครบทุกอาการ ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล) ดังนี้
- รู้สึกว่างเปล่า เครียด หรือเศร้า
- รู้สึกสิ้นหวัง มองโลกในแง่ร้าย
- รู้สึกสับสน รู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า ไร้ทางสู้และรู้สึกว่าไม่มีใครช่วยเราได้
- หมดความรู้สึกสนุกหรือสนใจในกิจกรรมที่ตนเองชอบ
- ไม่มีสมาธิจดจ่อกับสิ่งที่ทำได้นาน หลงลืมบ่อยขึ้น และมีปัญหาด้านการตัดสินใจ
- นอนหลับยาก นอนน้อย หรือนอนมากเกินไป
- กินอาหารมาก หรือน้อยเกินไปกว่าปกติ
- น้ำหนักขึ้นหรือลดลงผิดปกติ
- รู้สึกกระสับกระส่าย
- มีความคิดที่จะฆ่าตัวตาย หรือมีความคิดเกี่ยวกับการตายขึ้นมาในหัวบ่อย ๆ
- แยกตัวออกมาจากสังคม ครอบครัวหรือเพื่อน
- รู้สึกหมดแรง ไม่อยากทำอะไร
ปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้เสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้า?
ไม่ใช่แค่ประสบการณ์ที่ไม่ดีเท่านั้น แค่ทำให้เกิดโรคซึมเศร้าด้วย ปัจจัยต่อไปนี้ก็สามารถก่อให้เกิดโรคซึมเศร้าได้เช่นกัน
- สารเคมีในสมอง หากสารเคมีบางอย่างในสมองเกิดความผิดปกติ อาจนำมาสู่อาการของโรคซึมเศร้าได้
- พันธุกรรม โรคซึมเศร้าสามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ หากคุณมีผู้ใกล้ชิดทางสายเลือด เช่น พ่อ แม่ พี่น้อง ที่เป็นโรคซึมเศร้า ก็มีความเสี่ยงที่คุณจะเป็นโรคซึมเศร้าเช่นกัน
- บุคลิกภาพ ผู้ที่เห็นคุณค่าในตนเองต่ำ หรือมองโลกในแง่ร้าย มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคซึมเศร้ามากกว่าผู้ที่มีบุคลิกภาพอื่น
- สภาพแวดล้อม ผู้ที่อยู่ในสภาพสังคมที่ใช้ความรุนแรง ถูกละเลยและใช้สารเสพติด อาจทำให้เป็นโรคซึมเศร้าได้
โรคซึมเศร้ารักษาได้ไหม ทำได้อย่างไรได้บ้าง?
ก่อนอื่น ผู้ที่เข้ารับการรักษาต้องผ่านการประเมินและวิเคราะห์อาการจากนักจิตวิทยา หรือจิตแพทย์เสียก่อน เพื่อดูว่ามีอาการอย่างไร มีประวัติการเข้ารักษามาก่อนหรือไม่ กำลังใช้ยาอะไรอยู่
จะมีการถามถึงความสัมพันธ์กับคนในครอบครัว เพื่อน หรือคนรัก รวมไปถึงสภาพสังคมที่ผู้เป็นซึมเศร้าอาศัยอยู่ เพื่อที่จะได้วางแผนการรักษาได้ถูกต้อง ซึ่งการประเมินนี้อาจทำโดยการสัมภาษณ์ หรือทำแบบทดสอบทางจิตวิทยา
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
การรักษาโดยทั่วไปจะมีอยู่ 2 วิธี ได้แก่ การรักษาโดยใช้ยา กับ การบำบัดด้วยการพูดคุยกับนักจิตวิทยาการปรึกษา ซึ่งผู้ป่วยจะได้รับการรักษาอย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์
การรักษาโรคซึมเศร้าโดยใช้ยา
การรักษาโดยใช้ยา จะทำเพื่อให้ยาทำการปรับสารเคมีบางอย่างในสมอง ยานั้นเรียกว่า “ยาต้านเศร้า” (Antidepressants) ซึ่งไม่ใช่ยากระตุ้นประสาท ยาที่ทำให้สงบลง หรือยานอนหลับ และไม่มีผลกับผู้ที่ไม่ได้ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า
ผลจากการใช้ยาต้านเศร้าจะเริ่มเห็นได้ชัดเมื่อรับประทานติดต่อกันเป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ขึ้นไป ดังนั้นหากรักษาด้วยการใช้ยาผู้ป่วยจะต้องใจเย็นและเข้าใจถึงระยะเวลาการออกฤทธิ์ของยาว่า ยานี้จะไม่ได้ช่วยให้เห็นผลในทันที แต่จะช่วยให้ดีขึ้นในระยะยาว
ทั้งนี้การรักษาด้วยยาจะต้องรับประทานติดต่อกัน 6 เดือนขึ้นไป หลังจากที่อาการดีขึ้นแล้ว เพื่อให้การรักษานั้นอยู่ตัว และลดความเสี่ยงที่จะกลับมาเป็นอีกในอนาคต
ผู้ที่ป่วยในระดับที่ไม่รุนแรงมากไม่จำเป็นต้องรักษาด้วยวิธีนี้
การรักษาโรคซึมเศร้าโดยการพูดคุยกับนักจิตบำบัด
การรักษาโดยวิธีนี้จะเป็นการพูดคุย และเข้ารับการปรึกษากับนักจิตวิทยา ผู้ที่เข้ารับการรักษากับนักจิตบำบัดนั้น ส่วนมากจะเป็นผู้ป่วยโรคซึมเศร้าที่มีอาการไม่รุนแรงมาก
สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง อาจต้องมีการรักษาวิธีนี้ควบคู่ไปกับการรับประทานยาต้านเศร้า
การรักษาด้วยการพูดคุยไม่ใช่การที่นักจิตวิทยาจะเป็นคนบอกว่า ทางออกของปัญหาคืออะไร แต่นักจิตวิทยาจะเป็นผู้ช่วยให้ผู้เป็นซึมเศร้าค้นพบทางออกด้วยตัวเอง รวมถึงสามารถจดจ่ออยู่กับปัจจุบัน รู้วิธีจัดการกับความคิดทางลบ และปรับพฤติกรรม ความคิด ที่ผู้เป็นซึมเศร้าต้องการเปลี่ยน
การรักษาด้วยการปรึกษาพูดคุย ไม่ได้มีแค่แบบพูดคุยตัวต่อตัวเท่านั้น แต่มีการพูดคุยปรึกษาเป็นแบบกลุ่มด้วย เช่น คู่รัก หรือครอบครัว
ในบางครั้ง การบำบัดโรคซึมเศร้า นักจิตวิทยาอาจแนะนำให้มีการปรึกษาเป็นกลุ่ม เพื่อที่จะช่วยให้คนรอบข้าง และผู้เป็นซึมเศร้าเกิดความเข้าใจในกัน และกันมากขึ้น เป็นการสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีแก่ผู้เป็นโรคซึมเศร้าในระยะยาว
และนอกจากการรักษาโรคซึมเศร้า ผู้ป่วยก็ควรไปเข้ารับการตรวจสุขภาพด้วย เพราะหลายครั้ง ด้วยพฤติกรรมที่ละเลยการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคซึมเศร้าหลายราย จึงทำให้สุขภาพทรุดโทรม และเสี่ยงเกิดอาการเจ็บป่วยได้
หากเป็นโรคซึมเศร้าจะดูแลตัวเองอย่างไรได้บ้าง
หากได้รับการวินิจฉัยว่า เป็นซึมเศร้า ควรดูแลตัวเองตามแนวทางต่อไปนี้
- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ หรือใช้สารเสพติด เพราะสิ่งเหล่านี้มีผลให้อาการแย่ลง และถ้าหากเป็นผู้รับการรักษาโรคซึมเศร้าด้วยวิธีรับประทานยา สิ่งเหล่านี้จะมีผลต่อการดูดซึม และออกฤทธิ์ของยา
- พักผ่อนให้เพียงพอ การอดนอน หรือนอนนานเกินไป มีผลต่อสมาธิของผู้เป็นโรคซึมเศร้าได้
- ออกกำลังกาย การออกกำลังกายจะช่วยให้ร่างกายหลังสารแห่งความสุขออกมา และผู้ป่วยจะรู้สึกดีกับตนเองมากขึ้น การตั้งเป้าหมายเล็กๆ ในการออกกำลังกาย และสามารถทำได้สำเร็จ จะช่วยให้ผู้เป็นโรคซึมเศร้าเห็นคุณค่าในตนเองมากขึ้นได้ด้วย
- พยายามพาตัวเองไปอยู่ในสังคมที่ดี อยู่ในสังคมที่ให้การสนับสนุน และส่งเสริมให้มีความสุข
หลายคนอาจมองว่า ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าเป็นคนเรียกร้องความสนใจ อ่อนแอ และมีแต่จะสร้างปัญหา ความรำคาญใจให้กับคนรอบข้าง แต่ความจริงแล้วไม่มีใครอยากป่วยเป็นโรคนี้ เพราะมีแต่สร้างความทรมานทางจิตใจ และร่างกาย รวมถึงไม่สามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติด้วย
ดังนั้นคุณจึงไม่ควรตัดสินผู้ป่วยโรคนี้ว่า เป็นตัวปัญหา อีกทั้งคุณอาจไม่เคยรู้มาก่อนด้วยว่า ผู้ป่วยคนนั้นเคยเผชิญกับประสบการณ์แย่ๆ อะไรมาก่อน หากคุณมีคนใกล้ชิดที่มีอาการคล้ายกับเป็นผู้ป่วยโรคนี้ ควรอยู่เคียงข้างเขาโดยไม่ต้องตัดสินอะไร และแนะนำให้ไปพบจิตแพย์เพื่อรับการรักษาต่อไป
เปรียบเทียบราคาและแพ็กเกจปรึกษาสุขภาพจิต จากคลินิกและโรงพยาบาลใกล้คุณ และไม่พลาดทุกอัปเดตเรื่องสุขภาพและโปรโมชั่นเมื่อกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android