เกี่ยวกับภาวะตาบอดหูหนวก
ภาวะตาบอดหูหนวก (Deafblindness) คือกลุ่มของอาการสูญเสียทั้งการมองเห็นและการได้ยิน ที่ส่งผลต่อความสามารถในการสื่อสาร การประเมินข้อมูล และการใช้ชีวิต
ในบางครั้งภาวะนี้ถูกเรียกว่า “dual sensory loss” หรือ “multi-sensory impairment”
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
ผู้ที่ตาบอดหูหนวกอาจไม่จำเป็นต้องหูหนวกหรือตาบอดโดยสมบูรณ์ แต่อาจมีประสาททั้งสองที่บกพร่องอย่างมากจนส่งผลต่อการใช้ชีวิต
สัญญาณของภาวะตาบอดหูหนวก
ภาวะตาบอดหูหนวกมักเกิดมากกับผู้สูงอายุ แต่ในความเป็นจริงก็เป็นภาวะที่มีโอกาสเกิดได้กับคนทุกเพศทุกวัย
สำหรับผู้สูงอายุ ภาวะนี้อาจเกิดขึ้นอย่างช้าๆ จนทำให้คนส่วนมากไม่สังเกตเห็นปัญหาของตนเองในช่วงแรกๆ
สัญญาณของภาวะตาบอดหูหนวกมีดังนี้
- ไม่ค่อยได้ยินเสียง เช่น เสียงเคาะประตู เสียพูด เสียงโทรทัศน์ วิทยุ ทำให้มีพฤติกรรมแปลกไป เช่น ถือหนังสืออ่านชิดใบหน้ามาก นั่งใกล้แหล่งกำเนิดเสียง ต้องขอให้คู่สนทนาทวนคำพูดบ่อยๆ
- ทำความเข้าใจการสนทนาได้ลำบาก
- เคลื่อนไหวในพื้นที่ที่ไม่คุ้นชินลำบาก
- มีปัญหาในการมองในที่สลัวหรือที่สว่าง
- อ่านสีหน้าผู้คนยากขึ้น
- ใช้วิธีสัมผัสสิ่งของบ่อยกว่าปกติ
- มีปัญหาในการจดจำใบหน้าคน
หากคุณเริ่มรู้สึกตัวว่ามีปัญหาด้านการได้ยินและการมองเห็น สิ่งที่ควรทำคือการเฝ้าระวังสัญญาณต่างๆ ที่จะบ่งชี้ว่าประสิทธิภาพการทำงานของประสาทอื่นๆ ลดลงตามไปด้วยหรือไม่
สาเหตุของภาวะตาบอดหูหนวก
ภาวะตาบอดหูหนวกสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
- ภาวะตาบอดหูหนวกตั้งแต่กำเนิด (Congenital deafblindness) เป็นภาวะซึ่งอาจเกิดจาก
- ปัญหาที่เกี่ยวกับการคลอดก่อนกำหนด (คลอดก่อนที่มารดาจะมีอายุครรภ์ 37 สัปดาห์)
- การติดเชื้อที่เกิดระหว่างมีครรภ์ เช่น โรคหัดเยอรมัน ท็อกโซพลาสโมซิส (Toxoplasmosis) ไซโตเมกาโลไวรัส (cytomegalovirus (CMV))
- ภาวะทางพันธุกรรม เช่น ชาร์จซินโดรม (CHARGE syndrome) หรือดาวน์ซินโดรม (Down syndrome)
- โรคสมองพิการ
- กลุ่มอาการทารกในครรภ์ได้รับแอลกอฮอล์ (Foetal alcohol syndrome) ซึ่งเป็นปัญหาทางสุขภาพ ที่เกิดจากการบริโภคแอลกอฮอล์ระหว่างตั้งครรภ์
- ภาวะตาบอดหูหนวกในช่วงท้ายของชีวิต (Acquired deafblindness) ผู้ที่มีภาวะนี้อาจเกิดมาโดยไม่มีปัญหาการได้ยินหรือการมองเห็น แต่จะค่อยๆ สูญเสียประสาทสัมผัสทั้งสองไปในช่วงท้ายของชีวิต หรืออีกกรณีคือ ผู้ที่เกิดมาพร้อมปัญหาการได้ยินหรือปัญหาสายตา ก็สามารถมีการสูญเสียประสาททั้งสองในช่วงท้ายของชีวิตก็ได้เช่นกัน โดยอาจเกิดจากสาเหตุต่อไปนี้
- เกิดโรคในกลุ่มอัชเชอร์ซินโดรม (Usher syndrome) หรือภาวะทางพันธุกรรมที่ส่งผลต่อการได้ยิน การมองเห็น และการทรงตัว
- มีปัญหาดวงตาที่เกี่ยวข้องกับอายุ เช่น โรคจอประสาทตาเสื่อมจากอายุ(age-related macular degeneration (AMD)) ต้อกระจก ต้อหิน
- ภาวะเบาหวานขึ้นจอตา (diabetic retinopathy) เป็นภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน (diabetes) โดยเยื่อบุเซลล์ที่อยู่หลังดวงตาจะได้รับความเสียหายจากระดับน้ำตาลในเลือดที่สูง
- เกิดความเสียหายที่สมอง เช่น เป็นโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ (meningitis) โรคสมองอักเสบ (encephalitis) โรคหลอดเลือดสมอง (stroke) หรือเกิดการบาดเจ็บรุนแรงที่ศีรษะ
เมื่อไหร่ที่ควรไปพบแพทย์
เมื่อพบว่าการได้ยินหรือการมองเห็นแย่ลง ก็สามารถไปพบแพทย์ได้ตั้งแต่เนิ่นๆ แต่เนื่องจากภาวะนี้ ผู้มีอาการเองมักไม่สังเกตความผิดปกติ ดังนั้นผู้ที่พาไปพบแพทย์จึงอาจเป็นบุคคลใกล้ชิด ยิ่งพบเร็ว การรักษา หรือวางแผนปรับตัวในอนาคตจะได้ทำได้แต่เนิ่นๆ
วิธีการวินิจฉัยภาวะตาบอดหูหนวก
ในทารก ภาวะตาบอดหูหนวกสามารถตรวจร่างกายและพบได้ทันทีหลังคลอด หรือหลังจากดำเนินการทดสอบในช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิต ส่วนในผู้ใหญ่ ตัวผู้ใหญ่เองควรเข้ารับการตรวจสายตาอย่างน้อยทุกๆ สองปี เนื่องจากภาวะตาบอดหูหนวกนั้นจะค่อยเป็นค่อยไป ทำให้ไม่ค่อยรู้สึกถึงความผิดปกติ
ผู้ที่ถูกวินิจฉัยว่ามีภาวะตาบอดหูหนวกจะถูกประเมินประสาทสัมผัสทั้งสองซ้ำๆ ตามระยะเวลาที่กำหนด เพื่อปรับระดับการรักษาและมองหาความช่วยเหลือต่างๆ ที่จำเป็นต่อตัวผู้ป่วยเอง
หากแพทย์ตรวจพบภาวะตาบอดหูหนวกของคุณ คุณควรเข้ารับการประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญต่อ พวกเขาจะช่วยชี้ชัดความสามารถที่เหลืออยู่ของผู้ป่วย และคัดเลือกการช่วยเหลือตามความจำเป็น การประเมินควรคำนึงถึงความต้องการของผู้ป่วยเองด้วย
การปฏิบัติตัวเมื่ออยู่ในภาวะตาบอดหูหนวก
หลังจากผ่านการวินิจฉัยว่าอยู่ในภาวะตาบอดหูหนวกแล้ว เชี่ยวชาญจะสามารถร่างแผนการดูแลตนเองของผู้ป่วยขึ้นมาได้ แผนดังกล่าวมีเป้าหมายดังนี้
- รักษาและใช้งานประสาทสัมผัสที่เหลืออยู่ให้มากที่สุด
- ให้ผู้ป่วยดูแลตนเองได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เช่น เดินทางไปสถานที่ต่างๆ ได้เอง โดยอาจมีไม้เท้ายาวหรือสุนัขนำทางช่วย
- สำหรับเด็กเล็ก ต้องพยายามให้พวกเขาได้รับการศึกษาอย่างสมบูรณ์ที่สุด
- ให้ผู้ป่วยเรียนรู้วิธีการสื่อสารแบบอื่นๆ เช่น
- อักษรสำหรับตาบอดหูหนวก (deafblind manual alphabet) : การสื่อสารในรูปของการสัมผัส ซึ่งคำแต่ละคำถูกแยกออกจากกัน เพื่อให้ผู้ที่มีภาวะตาบอดหูหนวกใช้มือสัมผัสได้
- อักษรบล็อก (block alphabet) : การสื่อสารในรูปของการสัมผัสแบบง่าย ที่ซึ่งคำแต่ละคำจะสะกดด้วยตัวพิมพ์ใหญ่ และให้ผู้ที่มีภาวะตาบอดหูหนวกอ่านด้วยการสัมผัส
- การเขียนบนฝ่ามือ (hands-on signing) : การสื่อสารด้วยการเขียนสัญลักษณ์ต่างๆ บนฝ่ามือผู้ป่วย
- อักษรเบรลล์ (braille) : ระบบที่ใช้จุดนูนแทนตัวหนังสือหรือกลุ่มคำ
- อักษรมูน (moon) : คล้ายกับอักษรเบรลล์ แต่จะมีการใช้ตัวพิมพ์ใหญ่แทน ทำให้ง่ายต่อการสัมผัส
- ใช้อุปกรณ์ช่วย สำหรับผู้มีปัญหาด้านการมองเห็น มีอุปกรณ์เช่นแว่นตา เลนส์ขยาย ไฟฉาย สิ่งของที่ออกแบบมาเป็นพิเศษบางอย่าง เช่น โทรศัพท์และคีย์บอร์ดพิเศษ สามารถช่วยผู้ที่มีความบกพร่องทางการมองเห็นได้ ส่วนผู้มีปัญหาด้านการได้ยิน ก็มีอุปกรณ์ช่วยได้การฟังเช่นกัน โดยอุปกรณ์ประเภทนี้มีอยู่หลายแบบ ขึ้นอยู่กับระดับการได้ยินของผู้ป่วยและความพึงพอใจส่วนบุคคล
เครื่องช่วยฟังจะมีไมโครโฟนเก็บเสียงสภาพแวดล้อม เพื่อนำไปขยายเสียงและส่งเข้าไปยังโพรงหูของผู้สวมใส่ ดังนั้นเสียงจะเข้าถึงระบบรับเสียงของหูโดยตรง นักโสตสัมผัสวิทยา (audiologist) จะสามารถแนะนำเครื่องช่วยฟังที่เหมาะสมกับผู้ป่วยที่สุดได้ หลังจากทดสอบการได้ยินแล้ว
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
บางคนอาจไม่สามารถใช้เครื่องช่วยฟังได้ จึงอาจต้องมีการผ่าตัดเพื่อฝังระบบช่วยฟังเข้าในร่างกาย เช่น การฝังคอเคลีย (cochlea implant) หรือการฝังกระดูกรับเสียง (bone conducting hearing implant)
อุปกรณ์ดังกล่าวจะอาศัยไมโครโฟนเพื่อเก็บเสียงอยู่ดี แต่จากนั้นจะมีการเปลี่ยนเสียงให้เป็นทั้งสัญญาณไฟฟ้าหรือการสั่น ส่งเข้าไปในหูชั้นกลางหรือชั้นใน เพื่อให้ระบบรับเสียงประมวลผลอีกที
การป้องกันภาวะตาบอดหูหนวก
ภาวะบางอย่างสามารถส่งผลต่อการได้ยินและการมองเห็น แต่สามารถรักษาได้ด้วยการใช้ยาหรือการผ่าตัด
ปัญหาเกี่ยวกับดวงตา ซึ่งสามารถรักษาได้ ก่อนจะสูญเสียการมองเห็นทั้งหมด ได้แก่
- ต้อกระจก (Cataracts) มักรักษาได้ด้วยการผ่าตัดฝังเลนส์ตาเทียม
- ต้อหิน (Glaucoma) สามารถรักษาได้ด้วยยาหยอดตาหรือเลเซอร์
- ภาวะเบาหวานขึ้นตา (Diabetic retinopathy) สามารถรักษาได้หากภาวะยังอยู่ในระยะต้นด้วยการผ่าตัดเลเซอร์
ปัญหาเกี่ยวกับหูก็สามารถรักษาได้เช่นกัน เช่น การสะสมของขี้หู หรือการติดเชื้อในหูชั้นกลาง รักษาเสียก่อนที่อาการจะลุกลามถึงขั้นสูญเสียการได้ยิน