ทุกคนนั้นรู้ว่าการนับพลังงานที่รับประทานนั้นเป็นหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการลดน้ำหนัก ผู้หญิงส่วนใหญ่นั้นมักจะต้องการพลังงานประมาณ 2000 แคลอรีเพื่อคงน้ำหนัก และ 1500 แคลอรีเพื่อลดน้ำหนักให้ได้ 1 ปอนด์ต่อสัปดาห์ ผู้ชายนั้นต้องการพลังงาน2500 แคลอรีเพื่อคงน้ำหนักและ 2000 แคลอรีเพื่อลดน้ำหนักให้ได้ 1 ปอนด์ต่อสัปดาห์ และทุกคนต่างก็รู้ว่าคุณสามารถทำได้โดยการออกกำลังกายเพิ่มขึ้นและรับประทานอาหารให้น้อยลง
อย่างไรก็ตามตัวเลขดังกล่าวนั้นก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่เห็น มันเป็นการประมาณการณ์อย่างหยาบๆ ที่ไม่ได้นำปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อตัวเลขดังกล่าวเข้ามาคิด ทั้งอายุ ส่วนสูง น้ำหนัก หรือระดับของกิจกรรมที่ทำ แม้ว่าคุณจะคิดว่าการออกกำลังกายเป็นประจำนั้นเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการลดน้ำหนัก มันก็ไม่ได้เทียบเท่ากับการเลือกทานอาหารที่เหมาะสม
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
แต่การนับพลังงานเหล่านี้ก็ไม่ใช่การคาดเดาเสมอไป แทนการนำการออกกำลังกายมาเทียบกับการทานอาหาร ให้ลองใช้สมการเหล่านี้เพื่อคำนวนหาปริมาณพลังงานที่คุณต้องการในแต่ละวัน
สมการนี้เรียกว่า Mifflin-St Jeor ซึ่งเป็นสูตรที่พบว่าสามารถประมาณการณ์พลังงานที่ใช้ได้แม่นยำที่สุด
โดยเริ่มจากการคิดอัตราการทำงานที่ขณะพักของร่างกาย ร่างกายนั้นต้องหายใจ กระพริบตาและเจริญเติบโต และทำให้หัวใจเต้นเป็นจังหวะในทุกๆ วัน การมีชีวิตอยู่นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ และต้องใช้พลังงานในการทำสิ่งต่างๆ ตัวเลขนี้จะเป็นตัวเลขที่ประมาณพลังงานที่คุณสามารถเผาผลาญได้หากคุณอยู่ในภาวะผ่อนคลายเป็นเวลา 24 ชั่วโมง ในทางกลับกันมันก็หมายถึงพลังงานขั้นต่ำที่ร่างกายต้องใช้เพื่อให้ทำงานเช่นหายใจและสูบฉีดเลือดได้
นี่คือสูตรสำหรับผู้ชาย 10xน้ำหนัก (กิโลกรัม) + 6.25x ส่วนสูง (ซม) -5x อายุ (ปี) +5
ในผู้หญิงนั้นจะเป็น 10xน้ำหนัก (กิโลกรัม) + 6.25x ส่วนสูง (ซม) -5x อายุ (ปี) – 161
ตัวอย่างเช่น หากคุณเป็นผู้หญิงทีมีน้ำหนัก 140 ปอนด์ อายุ 30 ปี สูง 167.6 ซม. คุณจะสามารถคิดได้เท่ากับ 10 x (63.5) + 6.25 x (167.6) – 5 x (30) – 161 = 1,371.5
ใช้ตัวเลขนี้เป็นฐานอ้างอิงสำหรับการลดน้ำหนักที่ปลอดภัย คุณไม่ควรได้พลังงานน้อยกว่า 1200 แคลอรี เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อเริ่มลดลง และหมายความว่าคุณได้พลังงานไม่เพียงพอต่อการใช้ชีวิตประจำวัน
ขั้นต่อไป คุณต้องคิดถึงกิจกรรมต่างๆ ที่คุณทำตลอดทั้งวันที่เผาผลาญพลังงาน เช่นการเดินไปทำงาน การเล่นกีฬา เล่นโยคะ หรือแม้แต่ดูโทรทัศน์ ทุกอย่างล้วนต้องใช้พลังงาน ให้ค้นหาพลังงานที่ต้องใช้ในการทำแต่ละกิจกรรมจากอินเตอร์เนตก่อนนำมาบวกเพิ่มเข้าไปจากตัวเลขข้างต้นที่คำนวนได้ เพื่อให้คุณทราบว่าคุณต้องรับประทานอาหารเท่าไหร่เพื่อคงน้ำหนักให้อยู่ในระดับเท่าเดิม
อย่างไรก็ตาม หากคุณไม่อยากเปิดตารางในอินเตอร์เน็ต ให้ลองใช้สูตรต่อไปนี้
- ค่า BMR x 1.2 สำหรับการทำกิจกรรมเบาๆ และผ่อนคลาย
- BMR x 1.375 สำหรับการออกกำลังกายเบา (เช่นเดินวันละ 30-50 นาที สัปดาห์ละ 3-4 วัน ตีกอล์ฟ ทำงานบ้าน)
- BMR x 1.55 สำหรับการออกกำลังกายระดับปานกลางสัปดาห์ละ 3-5 วัน (มีอัตราการเต้นของหัวใจอยู่ในช่วง 60-70% ของอัตราสูงสุด เป็นเวลา 30-60 นาทีต่อครั้ง)
- BMRx1.725 สำหรับผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำ (สัปดาห์ละ 6-7 วันในระดับปานกลางถึงใช้พลังงานมาก (มีอัตราการเต้นของหัวใจอยู่ในช่วง 70-85% ของอัตราสูงสุด เป็นเวลา 45-60 นาทีต่อครั้ง)
- BMRx1.9 สำหรับผู้ที่ออกกำลังกายมากเป็นประจำ (เช่นออกกำลังกายอย่างหนัก ทำงานยกของหนัก นักกีฬา 6-7 วันต่อสัปดาห์ ครั้งละมากกว่า 90 นาที)
อย่างไรก็ตามคุณต้องเข้าใจว่าตัวเลขดังกล่าวนั้นไม่ได้เป็นตัวเลขที่คุณต้องเชื่อถือเสมอไป เพราะถึงแม้ว่าตัวเลขดังกล่าวนั้นมาจากสูตรทางทฤษฎีและใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติ กแต่การลดน้ำหนักนั้นต้องใช้อะไรมากกว่าตัวเลข การที่คุณใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาพแข็งแรงนั้นไม่ได้เทียบเท่ากับความสามารถในการลดน้ำหนัก และการจดจ่อกับการนับพลังงานนั้นก็อาจจะทำให้คุณเลือกรับประทานอาหารซ้ำๆ มากเกินไปและเกิดผลข้างเคียงตามมาได้ นอกจากนั้นยังเพิ่มความเครียดที่อาจจะกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมน cortisol และทำให้คุณลดน้ำหนักได้ยากขึ้น โดยสรุป ให้มีสติกับการนับพลังงานที่รับประทาน แต่ทางที่ดีก็คือให้รู้ว่าคุณกำลังรับประทานอะไรและในปริมาณเท่าไหร่ ร่างกายของคุณรู้ดีว่ามันต้องการอะไร ดังนั้นหากมันต้องการพลังงานก็ควรรับประทาน อย่าอด