ปัจจุบันการทำประกันชีวิต หรือประกันอุบัติเหตุเป็นสิ่งที่คนส่วนมากนิยมทำเพื่อให้เป็นประโยชน์เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินเกี่ยวกับสุขภาพ
นอกจากเหนือจากประกันของบริษัทเอกชนที่หลายคนหาซื้อไว้เอง มีเงื่อนไขกับราคาแตกต่างกันไป ภาครัฐเองก็มีประกันชีวิตที่ช่วยคุ้มครองผลประโยชน์เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินด้านสุขภาพเช่นเดียวกัน โดยมีชื่อเรียกว่า “ประกันสังคม”
โปรแกรมตรวจสุขภาพวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 99 บาท ลดสูงสุด 96%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
ความหมายของประกันสังคม
ประกันสังคม หมายถึง หลักประกันชีวิตซึ่งเกิดจากการจ่ายเงินสมทบให้กับทางกองทุนประกันสังคมทุกเดือน
เมื่อผู้จ่ายเงินสมทบ หรือที่เรียกว่า “ผู้ประกันตน” มีเหตุฉุกเฉินด้านสุขภาพ เช่น เจ็บป่วย ประสบอุบัติเหตุ คลอดบุตร เงินจากกองทุนประกันสังคมที่จ่ายไปก็จะสามารถนำมาเบิกจ่าย หรือคุ้มครองสิทธิประโยชน์ในการรักษาบางอย่างเพื่อช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายมากขึ้น
ประเภทของผู้ประกันตน
ผู้ประกันตนที่ส่งเงินสมทบให้กับกองทุนประกันสังคมมีหลายประเภทด้วยกัน ได้แก่
- ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 คือ ผู้ประกันตนที่เป็นลูกจ้างซึ่งทำงานให้กับสถานประกอบการที่มีลูกจ้างมากกว่า 1 คน
- ผู้ประกันตนตามมาตรา 39 คือ อดีตผู้ประกันตามมาตรา 33 ที่ลาออกมาแล้ว และสมัครใจจะส่งเงินสมทบไปที่กองทุนประสังคมต่อไปเพื่อรักษาสิทธิประกันสังคมเอาไว้
- ผู้ประกันตนตามมาตรา 40 คือ บุคคลทำงานอิสระ เป็นแรงงานนอกระบบ หรือเรียกทั่วไปว่า “ฟรีแลนซ์”
วิธีการขึ้นทะเบียนเพื่อเข้าร่วมประกันสังคม
การเข้าสู่ระบบประกันสังคมจะเริ่มต้นเมื่อคุณได้เข้าไปทำงานเป็นลูกจ้างในบริษัท หรือสถานประกอบการ หลังจากนั้นนายจ้างจะขึ้นทะเบียนประกันสังคมให้ โดยสามารถขึ้นทะเบียนได้ที่สำนักงานประกันสังคมประจำจังหวัด หรือในพื้นที่ที่สถานประกอบการตั้งอยู่
หรือนายจ้างสามารถขึ้นทะเบียนได้ที่ www.sso.go.th ได้เช่นกัน โดยเอกสารประกอบการขึ้นทะเบียน ได้แก่
- บัตรประจำตัวประชาชนลูกจ้าง ในกรณีในลูกจ้างเป็นคนไทย แต่หากเป็นคนต่างด้าว ให้ใช้ใบอนุญาตทำงานแทน
- แบบฟอร์มขึ้นทะเบียนผู้ประกันตน (สปส.1-03) ซึ่งต้องกรอกทั้งในลูกจ้างที่ไม่เคยเข้าระบบ หรือขึ้นทะเบียนประกันสังคม และลูกจ้างที่เคยขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนมาแล้ว
การหักเงินเพื่อเป็นเงินสมทบกองทุนประกันสังคม
เงินสมทบคือ เงินที่นายจ้าง และลูกจ้างต้องแบ่งจากเงินเดือนเพื่อนำส่งไปสมทบให้กับกองทุนประกันสังคมทุกเดือน โดยนายจ้างจะเป็นผู้หักเงินออกจากเงินเดือนลูกจ้างเป็นจำนวน 5% ของจำนวนเงินเดือน และเป็นผู้ส่งเงินไปให้กองทุนประกันสังคมเอง
โปรแกรมตรวจสุขภาพวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 99 บาท ลดสูงสุด 96%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
โดยเงินสมทบ 5% ที่ถูกหักไป จะประกอบไปด้วยสิทธิประโยชน์ดังนี้
- สิทธิประโยชน์เมื่อเจ็บป่วย คลอดบุตร ทุพพลภาพ หรือตาย เป็นจำนวน 1.5%
- สิทธิประโยชน์เพื่อสงเคราะห์บุตร และเมื่อยามชราภาพ เป็นจำนวน 1.5%
- สิทธิประโยชน์เมื่อว่างงาน เป็นจำนวน 0.5%
ยังไม่มีเหตุให้ต้องใช้สิทธิประกันสังคม แล้วเงินที่จ่ายไปอยู่ที่ไหน?
หลายคนอาจสงสัยว่า แล้วระหว่างที่จ่ายเงินสมทบกองทุนประกันสังคมไปทุกเดือน หากไม่ได้เจ็บป่วย หรือเกิดเหตุฉุกเฉินด้านสุขภาพอะไร จะยังได้รับประโยชน์จากกองทุนประกันสังคมหรือไม่
คำตอบ คือ ผู้ประกันตนยังคงมีสิทธิเข้าถึงประโยชน์จากกองทุนประกันสังคมอยู่ ถึงแม้จะไม่ได้เจ็บป่วย หรือมีเหตุฉุกเฉินด้านสุขภาพใดๆ เพราะถือว่า ยังจ่ายเงินเข้ามาสมทบทุนกองประกันสังคมอยู่ตลอด ผู้ประกันตนรายนั้นจึงยังคงเป็นสมาชิกกองทุนประกันสังคมอยู่เหมือนเดิม
โดยในระหว่างที่ผู้ประกันตนรายอื่นๆ ยังไม่ได้ใช้สิทธิในประกันสังคมของตนเอง เงินที่ทุกคนแบ่งจ่ายเข้ามาก็จะถูกนำไปใช้เพื่อจ่าย และให้สิทธิประโยชน์กับสมาชิกกองทุนประกันสังคมคนอื่นๆ ที่มีค่าใช้จ่ายจากเหตุจำเป็นด้านสุขภาพ
หลายคนอาจคิดว่า การจ่ายเงินสมทบกองทุนประกันสังคมดูจะไม่คุ้มค่ากับอาการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นนานๆ ครั้ง และคิดว่า คงไม่น่าได้ใช้ประโยชน์จากกองทุนนี้ แต่ความจริงแล้ว การจ่ายเงินสมทบประกันสังคมอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้สามารถเข้าถึงผลประโยชน์ได้ในวันที่คุณไม่คาดคิดมาก่อน
เพราะการใช้สิทธิประกันสังคมทุกกรณี จะต้องมีการตรวจสอบประวัติการส่งเงินสมทบย้อนหลังว่า มีระยะเวลาตามที่กองทุนกำหนดหรือไม่ หากขาดการส่งเงินสมทบตามที่กำหนด ก็จะไม่สามารถใช้สิทธิประกันสังคมได้ ได้แก่
โปรแกรมตรวจสุขภาพวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 99 บาท ลดสูงสุด 96%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
- กรณีเจ็บป่วย ผู้ใช้สิทธิประกันสังคมจะต้องจ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือนก่อนมาใช้บริการด้านการแพทย์
- กรณีคลอดบุตร ผู้ใช้สิทธิประกันสังคมต้องจ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือนก่อนวันคลอดบุตร
- กรณีทุพพลภาพ ผู้ใช้สิทธิประกันสังคมต้องจ่ายเงินสมทบมาแล้วครบ 3 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือนก่อนเกิดเหตุทำให้ทุพพลภาพ
- กรณีตาย ผู้ใช้สิทธิประกันสังคมต้องจ่ายเงินสมทบมาแล้วครบ 1 เดือน ภายในระยะเวลา 6 เดือนก่อนถึงแก่ความตาย
- กรณีสงเคราะห์บุตร ผู้ใช้สิทธิประกันสังคมต้องจ่ายเงินสมทบครบ 12 เดือน ภายในระยะเวลา 36 เดือนก่อนได้สิทธิรับประโยชน์ทดแทน
- กรณีว่างงาน ผู้ใช้สิทธิประกันสังคมต้องจ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือนก่อนว่างงาน
สถานพยาบาลสำหรับใช้สิทธิประกันสังคม
ผู้ประกันตนสามารถเลือกสถานพยาบาลสำหรับเข้ารับบริการทางการแพทย์ได้ถึง 3 แห่ง โดยอาจพิจารณาถึงความง่ายต่อการเดินทาง หรืออยู่ใกล้ที่พัก อยู่ในพื้นที่ภูมิลำเนาที่เข้าถึงได้ง่าย
หรือในเวลาต่อมา หากผู้ประกันมีการย้ายงาน หรือย้ายที่อยู่อาศัย ซึ่งทำให้มีเหตุจำเป็นต้องเปลี่ยนสถานพยาบาลที่ใช้สิทธิประกันสังคม ก็สามารถทำได้เช่นกัน แต่มีข้อจำกัดในการเปลี่ยนแค่ปีละ 1 ครั้ง และสามารถเปลี่ยนได้แค่ระหว่างวันที่ 1 มกราคม - 31 มีนาคมของทุกปีเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม การเลือกสถานพยาบาลสำหรับสิทธิประกันสังคมก็ไม่ได้หมายความว่า เมื่อมีเหตุฉุกเฉินด้านสุขภาพแล้วจะต้องมารับบริการที่โรงพยาบาลทั้ง 3 แห่งนี้เท่านั้น คุณสามารถไปเลือกใช้บริการที่โรงพยาบาลอื่นได้เช่นกัน แต่ก็จะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ตามที่ประกันสังคมกำหนดไว้
นั่นหมายถึง อาจต้องสำรองจ่ายไปก่อนแล้วจึงมาเบิกกับประกันสังคมในภายหลัง รวมทั้งมีข้อจำกัดในการจ่ายค่ารักษาเพิ่มเติม เช่น สามารถใช้สิทธิประกันสังคมรักษาตัวในโรงพยาบาลเอกชนได้ไม่เกิน 72 ชั่วโมง จากนั้นต้องย้ายไปรักษาในโรงพยาบาลที่ผู้ประกันตนเลือกไว้
สิทธิประโยชน์ที่ประกันสังคมคุ้มครอง
สิทธิประโยชน์ของผู้ประกันตนทั้ง 3 ประเภทจะแตกต่างกันไป ในที่นี้เราจะกล่าวถึงสิทธิประโยชน์ของผู้ประกันมาตรา 33 ได้แก่
1. สิทธิประโยชน์กรณีเจ็บป่วย
ผู้ประกันตนที่ส่งเงินสมทบครบ 3 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือนก่อนเกิดอาการเจ็บป่วยสามารถเข้ารับการรักษา หรือรับบริการด้านการแพทย์ในโรงพยาบาลที่ตนเองเลือกไว้ในประกันสังคมโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
แต่ในกรณีที่ผู้ประกันไม่สามารถเข้ารับบริการที่โรงพยาบาลซึ่งตนเองเลือกไว้ได้ ทางสำนักงานประกันสังคมจะพิจารณาจ่ายค่าบริการด้านการแพทย์ตามความเหมาะสม เช่น
หากเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลรัฐ ในกรณีเป็นผู้ป่วยนอก จะจ่ายค่าบริการตามความจำเป็น แต่หากเป็นผู้ป่วยใน จะจ่ายค่าบริการตามความจำเป็นภายในเวลาไม่เกิน 72 ชั่วโมงแรก ไม่รวมระยะเวลาในวันหยุดราชการ
หากเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชน ในกรณีผู้ป่วยนอก จะจ่ายค่าบริการไม่เกิน 1,000 บาทต่อครั้ง ส่วนผู้ป่วยในจะพิจารณาเฉพาะค่าใช้จ่ายที่จำเป็นภายในระยะเวลาไม่เกิน 72 ชั่วโมงแรก ไม่รวมวันหยุดราชการ เช่น
- ค่ารักษาพยาบาลไม่เกินวันละ 2,000 บาท
- ค่าตรวจทางห้องปฏิบัติการไม่เกิน 1,000 บาท
ในกรณีการทำทันตกรรม หากผู้ประกันตนมีปัญหาเกี่ยวกับฟัน และเลือกไปรับบริการทางทันตกรรม เช่น อุดฟัน ผ่าตัดฟันคุด ถอนฟัน ที่โรงพยาบาลซึ่งตนเองเลือกไว้สำหรับใช้สิทธิประกันสังคม ก็สามารถเบิกค่าบริการด้านการแพทย์เท่าที่จำเป็นได้ในอัตราไม่เกิน 900 บาทต่อปี และต่อคน
หรือในกรณีใส่ฟันเทียมชนิดถอดได้ ก็สามารถเบิกค่าบริการด้านการแพทย์ และค่าทำฟันเทียมได้ไม่เกิน 1,500 บาท ภายในระยะเวลา 5 ปี ตั้งแต่วันที่เริ่มใส่ฟันเทียม
นอกจากนี้ผู้ประกันตนยังสามารถเข้าร่วมการตรวจสุขภาพได้ที่โรงพยาบาลซึ่งเข้าร่วมประกันสังคมทุกแห่งโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยรายละเอียดที่สามารถตรวจได้ จะได้แก่
- การตรวจสุขภาพตา
- การตรวจค่าสายตา
- การตรวจคัดกรองการได้ยิน
- การตรวจเต้านม
- การเอกซเรย์ทรวงอก
- การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด
- การตรวจปัสสาวะ
- การตรวจไขมัน และคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด
- การตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบ
- การตรวจมะเร็งปากมดลูก
ในกรณีผู้ประกันตนประสบอุบัติเหตุร้ายแรง หรือเจ็บป่วยฉุกเฉินในขั้นวิกฤต ผู้ประกันตน หรือผู้ช่วยเหลือสามารถนำส่งผู้ประกันไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด
แต่ผู้ประกันตน หรือผู้ช่วยเหลือสามารถไปที่โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดเพื่อรับการรักษาก่อนได้ แล้วทางสำนักงานประกันสังคมจะเป็นฝ่ายรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการรักษาจนกว่าผู้ประกันตนจะพ้นวิกฤตอันตรายภายในเวลา 72 ชั่วโมง
2. สิทธิประโยชน์กรณีคลอดบุตร
ผู้ประกันตนหญิงสามารถคลอดบุตรที่โรงพยาบาลแห่งใดก็ได้ จากนั้นนำสำเนาสูติบัตรของบุตร และบัตรประจำตัวประชาชนของตนเองไปเบิกรับค่าคลอดแบบเหมาจ่ายที่สำนักงานประกันสังคมเป็นจำนวน 13,000 บาท
นอกจากนี้ผู้ประกันตนหญิงตั้งครรภ์ยังจะได้รับเงินสงเคราะห์สำหรับใช้ในระหว่างหยุดงานเพื่อคลอดบุตรด้วยในอัตรา 50% ของเงินเดือนเป็นเวลา 90 วัน
ผู้ประกันตนชายที่มีภรรยากำลังจะตั้งครรภ์ก็สามารถนำใบสูติบัตรของบุตรกับสำเนาทะเบียนสมรส หรือหนังสือรับรองกรณีไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันมาเบิกค่าคลอดที่สำนักงานประกันสังคมได้ โดยจะได้รับเงินเป็นค่าคลอดแบบเหมาในจำนวนเท่ากัน คือ 13,000 บาท
แต่ในกรณีที่คู่สามีภรรยาเป็นผู้ประกันตนในประกันสังคมทั้งคู่ จะสามารถเบิกค่าคลอดได้เพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้น
ส่วนในระยะเวลาที่ตั้งครรภ์ และต้องไปฝากครรภ์กับแพทย์ หรือตรวจครรภ์ตามระยะเวลาที่กำหนด ทางสำนักงานประประกันสังคมจะจ่ายให้เป็นครั้งๆ ไป ได้แก่
- ครั้งที่ 1: หากอายุครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์ สามารถเบิกได้ไม่เกิน 500 บาท
- ครั้งที่ 2: หากอายุครรภ์เกิน 12 สัปดาห์ แต่ไม่ถึง 20 สัปดาห์ สามารถเบิกได้ไม่เกิน 300 บาท
- ครั้งที่ 3: หากอายุครรภ์มากกว่า 20 สัปดาห์ แต่ไม่ถึง 28 สัปดาห์ สามารถเบิกค่าตรวจครรภ์ได้ไม่เกิน 200 บาท
3. สิทธิประโยชน์กรณีทุพพลภาพ
สิทธิประโยชน์สำหรับผู้ทุพพลภาพจะแบ่งเป็น 2 กรณี คือ
- กรณีทุพพลภาพระดับสูญเสียไม่รุนแรง ในผู้ที่ยังทำงานได้ แต่มีความสามารถ หรือประสิทธิภาพในการทำงานลดลงจนรายได้ลดลงไปด้วย จะได้รับเงินทดแทนรายได้ส่วนที่ลดลงไม่เกิน 30% เป็นระยะเวลาไม่เกิน 180 เดือน
ส่วนผู้ที่ทุพพลภาพจนไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ และขาดรายได้ จะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ในส่วนนั้นๆ 30% ตลอดระยะเวลาที่ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ แต่ต้องเป็นระยะเวลาไม่เกิน 180 เดือน - กรณีทุพพลภาพระดับสูญเสียรุนแรง จะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ 50% ของเงินเดือนเฉลี่ยไปตลอดชีวิต
ผู้ทุพพลภาพที่ต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล การเบิกค่ารักษา หรือค่าบริการด้านการแพทย์จะขึ้นอยู่กับโรงพยาบาลรัฐ หรือเอกชน
- โรงพยาบาลรัฐ หากเป็นผู้ป่วยนอก จะสามารถเบิกค่าบริการด้านการแพทย์ได้เท่าที่จำเป็น แต่สำหรับผู้ป่วยใน จะไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ เลย
- โรงพยาบาลเอกชน หากเป็นผู้ป่วยนอก จะสามารถเบิกค่าบริการด้านการแพทย์ได้ไม่เกินเดือนละ 2,000 บาท ส่วนผู้ป่วยในจะเบิกได้ไม่เกินเดือนละ 4,000 บาท
4. สิทธิประโยชน์กรณีตาย
ผู้ประกันตนที่ถึงแก่ความตาย ญาติของผู้ประกันตนจะได้รับเงินค่าทำศพเป็นจำนวน 40,000 บาท และได้รับเงินสงเคราะห์เพิ่มเติม ซึ่งมีเงื่อนไขต่อไปนี้
- กรณีผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบ 36 เดือนขึ้นไป แต่ไม่ถึง 120 เดือน จะได้รับเงินสงเคราะห์ 50% ของเงินเดือนเฉลี่ย 4 เดือน
- กรณีผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบ 120 เดือนขึ้นไป จะได้เงินสงเคราะห์ 50% ของเงินเดือนเฉลี่ย 12 เดือน
5. สิทธิประโยชน์กรณีสงเคราะห์บุตร
หากผู้ประกันตนมีบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย และจ่ายเงินสมทบครบ 12 เดือนภายใน 36 เดือนก่อนจะใช้สิทธิ จะสามารถรับเงินสงเคราะห์บุตรเป็นจำนวนเหมาจ่ายได้เดือนละ 600 บาทต่อเดือนต่อบุตร 1 คน และสามารถรับเงินได้คราวละไม่เกิน 3 คน
สิทธิประโยชน์ข้อนี้จะสามารถใช้ได้ตั้งแต่แรกเกิดไปจนบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายมีอายุครบ 6 ขวบบริบูรณ์เท่านั้น
6. สิทธิประโยชน์กรณีชราภาพ
สิทธิประโยชน์สำหรับผู้ประกันตนที่ชราภาพ จะขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่จ่ายเงินสมทบไปที่กองทุนประกันสังคม ได้แก่
เงินบำเหน็จชราภาพ
- หากจ่ายเงินสมทบต่ำกว่า 12 เดือน จะได้รับเงินบำเหน็จชราภาพเท่ากับจำนวนเงินสมทบส่วนที่ผู้ประกันตนจ่ายไป (ไม่รวมเงินสมทบส่วนที่นายจ้างจ่าย)
- หากจ่ายเงินสมทบ 12 เดือนขึ้นไป แต่ยังไม่ครบ 180 เดือน จะได้รับเงินบำเหน็จชราภาพเท่ากับเงินสมทบของผู้ประกันตน และเงินสมทบที่นายจ้างจ่ายด้วย พร้อมทั้งจะได้รับผลประโยชน์ตอบแทนเพิ่มเติมจากสำนักงานประกันสังคมอีก
เงินบำนาญชราภาพ
- หากผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบครบ 180 เดือนแล้ว จะได้รับเงินบำนาญชราภาพเป็นจำนวน 20% ของเงินเดือน 60 เดือนสุดท้ายที่ใช้เป็นฐานคำนวณเงินสำหรับแบ่งจ่ายเป็นเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม
- หากผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบมากกว่า 180 เดือน ทางกองทุนประกันสังคมจะปรับอัตราเงินบำนาญจากในข้อแรกขึ้นอีก 1.5% ต่อระยะเวลาที่จ่ายเงินสมทบครบ 12 เดือน
ลักษณะการจ่ายเงินทั้ง 2 อย่างนี้จะแตกต่างกันด้วย โดยเงินบำเหน็จชราภาพจะจ่ายเป็นเงินก้อนเดียวเพียงครั้งเดียว แต่เงินบำนาญชราภาพจะจ่ายเป็นเงินรายเดือนไปตลอดชีวิต
ส่วนในกรณีผู้รับเงินบำนาญชราภาพเสียชีวิตภายใน 60 เดือนตั้งแต่มีสิทธิได้รับเงินบำนาญชราภาพ ทายาทของผู้รับเงินบำนาญจะได้รับเงินบำเหน็จชราภาพจำนวน 10 เท่าของเงินบำนาญชราภาพรายเดือนที่เคยได้รับมาจนเมื่อเสียชีวิต
7. สิทธิประโยชน์กรณีว่างงาน
- กรณีถูกเลิกจ้าง ในระหว่างว่างงานผู้ประกันตนจะได้รับเงินทดแทนจากการขาดรายได้ 50% ของเงินเดือนที่เคยได้รับ โดยจะได้รับเงินทดแทนครั้งละไม่เกิน 180 วัน
- กรณีลาออก หรือสิ้นสุดสัญญาจ้าง จะได้รับเงินทดแทนในระหว่างว่างงาน 30% ของเงินเดือนที่เคยได้รับครั้งละไม่เกิน 90 วัน
- กรณีไม่ได้ทำงานจากเหตุสุดวิสัย เช่น เกิดโรคระบาด เกิดภัยธรรมชาติ ซึ่งทำให้ทั้งนายจ้าง และลูกจ้างไม่สามารถประกอบกิจการต่อไปได้ จะได้เงินทดแทนระหว่างที่ขาดรายได้ หรือว่างงาน 50% ของเงินเดือน ครั้งละไม่เกิน 180 วัน
จะเห็นได้ว่า สิทธิประกันสังคมนั้นให้ประโยชน์มากมายในช่วงเวลาที่เกิดเหตุฉุกเฉิน หรือขาดรายได้ คุณจึงไม่ควรมองข้ามผลประโยชน์เหล่านี้ที่จะช่วยเหลือคุณได้ในยามเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้น
หากมีข้อสงสัยอื่นๆ เกี่ยวกับสิทธิประกันสังคม สามารถติดต่อได้ที่สายด่วนเบอร์ 1506 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือเข้าไปหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.sso.go.th
เปรียบเทียบราคาและแพ็กเกจตรวจสุขภาพทั่วไป จากคลินิกและโรงพยาบาลใกล้คุณ และไม่พลาดทุกอัปเดตเรื่องสุขภาพและโปรโมชั่นเมื่อกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android