ลิ้นจี่ (Lychee) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Litchi chinensis Sonn. เป็นผลไม้ที่มีต้นกำเนิดจากประเทศจีนตอนใต้ แต่มีการเพาะปลูกทั้งในประเทศไทย เวียดนาม บังกลาเทศ อินเดียตอนเหนือ สหรัฐอเมริกา แอฟริกา และฮาวาย
ลิ้นจี่ถือเป็นผลไม้ที่สำคัญทางเศรษฐกิจของไทย เพราะได้รับความนิยมทั้งจากประชากรในประเทศ และมีการส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศทั้งในรูปแบบผลไม้สด และแปรรูป เช่น ลิ้นจี่อบแห้ง ลิ้นจี่กระป๋อง
โปรแกรมตรวจสุขภาพวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 99 บาท ลดสูงสุด 96%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของลิ้นจี่
ลิ้นจี่เป็นผลไม้ในวงศ์เงาะ (Sapindaceae) เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูงประมาณ 7-10 เมตร ลำต้นมีพื้นผิวเป็นไม้เนื้อแข็ง ขรุขระ ใบเป็นรูปวงรีเรียวคล้ายรูปหลาว ความยาวประมาณ 2-3 นิ้ว ใน 1 ก้านใบจะมีใบอยู่ประมาณ 2-4 คู่
รากลิ้นจี่เป็นรากแก้ว มีลักษณะกลมแทงลุกลงในดิน มีรากแขนงกระจายออกเป็นแนวราบ
ดอกลิ้นจี่ออกเป็นช่อ มีสีเหลืองอมขาว กลิ่นหอม
ส่วนผลลิ้นจี่ เมื่อผลยังอ่อนจะออกสีเขียว จนเมื่อสุกได้ที่จะเปลี่ยนเป็นสีแดง ผิวเปลือกขรุขระเป็นปุ่มเล็กแข็งๆ ภายในผลลิ้นจี่อมน้ำรสหวานฉ่ำหรือหวานอมเปรี้ยว มีสีขาวขุ่น มีเมล็ดรูปทรงรี มีสีน้ำตาลเข้มอยู่ข้างใน
สารอาหารในลิ้นจี่
ลิ้นจี่ 100 กรัมให้พลังงานประมาณ 66 แคลอรี ประกอบไปด้วยโปรตีน 0.8 กรัม คาร์โบไฮเดรต 16.5 กรัม น้ำตาล 15.2 กรัม ไฟเบอร์ 1.3 กรัม และไขมัน 0.4 กรัม
ลิ้นจี่มีวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์มากมาย เช่น วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 6 วิตามินอี สารไนอะซิน แร่ธาตุโพแทสเซียม ฟอสฟอรัส ซีลีเนียม ทองแดง สังกะสี
โปรแกรมตรวจสุขภาพวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 99 บาท ลดสูงสุด 96%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
นอกจากนี้ ลิ้นจี่ยังมีกรดอะมิโน รวมถึงกรดไขมันสำคัญที่ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์สร้างขึ้นมาเองได้ เช่น กรดปาลมิติก กรดไอเลอิก กรดไลโนเลอิก กรดไทโรซีน กรดแอสพาราจีน กรดมรีโอนีน
สรรพคุณของลิ้นจี่
ลิ้นจี่มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายด้าน เช่น
1. เสริมสร้างระบบเมตาบอลิซึมในร่างกาย
ในลิ้นจี่ประกอบไปด้วยไฟเบอร์และวิตามินที่มีประโยชน์ต่อระบบเมตาบอลิซึมในส่วนของการควบคุมระบบการดูดซึมสารอาหารและขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย โดยเฉพาะสารอาหารประเภทไขมัน น้ำตาล และคาร์โบไฮเดรต
นอกจากนี้ ผู้ป่วยที่มีภาวะดื้ออินซูลิน (Insulin resistance) จากระบบการทำงานเมตาบอลิซึมที่ไม่มีประสิทธิภาพอาจควรรับประทานลิ้นจี่ เพราะลิ้นจี่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและสารฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) ซึ่งทำหน้าที่รักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่
2. เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
ลิ้นจี่มีวิตามินซีปริมาณมาก วิตามินชนิดนี้ทำหน้าที่เหมือนสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งช่วยบำรุงระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรงยิ่งขึ้น ช่วยลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคไข้หวัดใหญ่ และโรคลักปิดลักเปิด
3. เป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นดี
อย่างที่กล่าวไปในข้อ 2 ว่า ลิ้นจี่นั้นอุดมไปด้วยวิตามินซี รวมถึงวิตามินบีรวม สารไฟโตนิวเทรียนต์ (Phytonutrient) ซึ่งล้วนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นดีต่อร่างกาย
โปรแกรมตรวจสุขภาพวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 99 บาท ลดสูงสุด 96%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
อีกทั้งสารต้านอนุมูลอิสระในลิ้นจี่ยังช่วยป้องกันภาวะเครียดที่เกิดจากออกซิเดชัน (Oxidative stress) ซึ่งเป็นภาวะที่สารอนุมูลอิสระเข้าไปทำลายเซลล์ในระบบต่างๆ ของร่างกาย รวมถึงสารพันธุกรรม ทำให้เซลล์มะเร็งเพิ่มจำนวน เพิ่มความเสี่ยงเกิดโรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิต
4. บำรุงระบบไหลเวียนเลือด
วิตามินซีจากลิ้นจี่มีส่วนสำคัญในการเสริมธาตุเหล็กซึ่งเป็นส่วนประกอบในการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงและฮีโมโกลบินในเลือดในทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เนื่องจากถึงแม้ในร่างกายของคุณจะมีธาตุเหล็กเพียงพอแค่ไหนก็ตาม แต่หากร่างกายของคุณขาดวิตามินซี ธาตุเหล็กในร่างกายก็ไม่สามารถเข้าไปช่วยเสริมการทำงานของระบบไหลเวียนเลือดได้
นอกจากนี้ ในลิ้นจี่ยังมีแร่ธาตุแมกนีเซียม ซึ่งทำหน้าที่สลายลิ่มเลือดในหลอดเลือด รวมถึงทองแดงซึ่งบำรุงระบบเมตาบอลิซึมของธาตุเหล็ก และช่วยเสริมสร้างเม็ดเลือดแดงให้เพียงพอต่อร่างกาย
5. บำรุงสุขภาพผิวหนัง
ลิ้นจี่ คือ ผลไม้ตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องออกไปเผชิญแสงแดดและมลภาวะที่เป็นพิษอยู่บ่อยๆ รวมถึงผู้ที่มีภาวะเครียด ทำงานหนักจนพักผ่อนไม่เป็นเวลา เพราะปัจจัยเหล่านี้จะทำให้ผิวหนังของคุณดูหมอง ไม่กระชับ แก่กว่าวัย แถมยังเพิ่มสารอนมูลอิสระในผิวหนังของคุณด้วย
แต่ปัญหานี้สามารถบรรเทาได้ด้วยวิตามินซีจากลิ้นจี่ ซึ่งช่วยชะล้างสิ่งสกปรกใต้ผิวหนัง และยังทำให้ผิวหนังขาวใส ดูอ่อนกว่าวัย
6. ควบคุมระดับความดันโลหิต ป้องกันโอกาสเกิดโรคหัวใจ
สารต้านอนุมูลอิสระในลิ้นจี่มีส่วนช่วยลดความดันโลหิตได้ อีกทั้งไฟเบอร์ในลิ้นจี่ยังช่วยในการสลายไขมันไม่ดีในร่างกาย ลดโอกาสทำให้เกิดโรคเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด
ลิ้นจี่ช่วยเพิ่มปริมาณไขมันดีที่จำเป็นต่อร่างกาย ลดคอเลสเตอรอลที่ไปขัดขวางการไหลเวียนของเลือด ทำให้เลือดไหลไปเลี้ยงหัวใจได้เพียงพอ ลดโอกาสหัวใจวาย เกิดโรคหลอดเลือดอุดตัน โรคความดันโลหิตสูง
นอกจากนี้ โพแทสเซียมในลิ้นจี่ยังช่วยกระตุ้นการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ บำรุงให้กล้ามเนื้อหัวใจทำงานได้อย่างแข็งแรงสม่ำเสมอ
7. ช่วยบำรุงระบบย่อยอาหารและการทำงานของลำไส้
สารเพกทิน (Pectin) และไฟเบอร์จากลิ้นจี่มีส่วนช่วยส่งเสริมการทำงานของลำไส้ และบำรุงให้ระบบย่อยอาหารทำงานเป็นปกติ
นอกจากนี้ สารทั้ง 2 ชนิดยังมีส่วนทำให้อุจจาระนิ่ม ขับถ่ายง่าย ลดโอกาสเกิดอาการท้องผูกและโรคริดสีดวงทวาร
8. ช่วยลดน้ำหนัก
คุณอาจคิดว่า ลิ้นจี่เป็นผลไม้ที่เต็มไปด้วยความหวานจากน้ำตาล แต่ความจริงมันก็สามารถใช้เป็นผลไม้สำหรับลดน้ำหนักได้ หากคุณรับประทานอย่างเหมาะสม
ซึ่งการลดน้ำหนักที่ถูกต้อง คุณจะต้องรับประทานอาหารให้เพียงพอต่อการออกกำลังกายเพื่อกำจัดไขมันออก และควรดื่มน้ำให้เพียงพอ ซึ่งหลายคนละเลยความสำคัญในจุดนี้ไป
แต่โพแทสเซียมในลิ้นจี่สามารถช่วยคุณลดน้ำหนักผ่านการรักษาความสมดุลของน้ำกับเกลือแร่ในร่างกายได้
9. ป้องกันภาวะเลือดออก
ในลิ้นจี่มีสารรูติน (Rutin) เป็นสารโพลีฟีนอล (Polyphenol) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชนิดหนึ่ง มีประโยชน์ในการต้านโรคมะเร็ง ระดับคอเลสเตอรอล และกรดไตรกลีเซอไรด์ในเลือดได้
นอกจากนี้ สารรูตินยังช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับหลอดเลือด ลดความเสี่ยงการเกิดเส้นเลือดขอด (Varicose vein) โรคริดสีดวงทวารหนัก (Hemorrhoids) ช่วยลดการเกิดภาวะเลือดออกง่าย
สารรูตินไม่ได้ช่วยป้องกันโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดเท่านั้น แต่ยังรวมถึงป้องกันการเกิดโรคมะเร็งและโรคหัวใจด้วย
ทำความรู้จัก Oligonol สารสกัดอาหารเสริมจากลิ้นจี่
โอลิโกนอล (Oligonol) คือ สารสกัดอาหารเสริมจากลิ้นจี่ที่คิดค้นจากประเทศญี่ปุ่น ผ่านการสกัดอนุภาคขนาดเล็กของลิ้นจี่ด้วยนวัตกรรมย่อยสลายด้วยเอนไซม์เพื่อเป็นอาหารเสริมต้านสารอนุมูลอิสระ เสริมภูมิคุ้มกันร่างกาย ลดระดับไขมันสะสมในร่างกาย
นอกจากนี้ โอลิโกนอลยังช่วยบำระบบไหลเวียนเลือด ทำให้หลอดเลือดขยายตัวและยืดหยุ่นมากขึ้น รวมถึงลดการอักเสบของหลอดเลือด รวมถึงชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์ ทำให้ริ้วรอยแห่งวัยลดลง
ข้อควรระวังในการรับประทานลิ้นจี่
ลิ้นจี่อาจเป็นผลไม้ที่เต็มไปด้วยสรรพคุณดีๆ มากมาย แต่ก็สามารถสร้างผลเสียได้ หากคุณรับประทานไม่เหมาะสม เช่น
- ทำให้เกิดอาการร้อนในได้ หากรับประทานมากเกินไป
- มีน้ำตาลสูง หากคุณมีภาวะอ้วน เป็นโรคเบาหวาน หรือกำลังลดน้ำหนัก ควรปรึกษานักโภชนาการหรือแพทย์ว่า สามารถรับประทานลิ้นจี่ในปริมาณเท่าไรจึงจะเหมาะสม
- เกิดภาวะแพ้ ลิ้นจี่ก็เหมือนผลไม้ชนิดอื่นที่อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ในผู้ป่วยที่แพ้ผลไม้บางชนิด หากคุณแพ้ผลไม้ตระกูลเงาะ เบอร์รี ก็ควรระมัดระวังอาการแพ้ลิ้นจี่ด้วย
- สารพิษจากยาฆ่าแมลง คุณควรล้างทำความสะอาดลิ้นจี่ก่อนรับประทาน เพราะลิ้นจี่จากหลายแหล่งมีการใช้ยาฆ่าแมลงในขณะปลูก จึงทำให้สารพิษเหล่านั้นเจือปนอยู่ในผลลิ้นจี่ด้วย
- ในเม็ดลิ้นจี่มีสารพิษ MCPG (Methylene cyclopropyl glycine: MCPG) ซึ่งออกฤทธิ์เหมือนกับสารไฮโปไกลซิน เอ (Hypoglycin A) ซึ่งจะออกฤทธิ์ปิดกั้นระบบการสร้างน้ำตาลกลูโคสในร่างกาย ทำให้ไม่มีน้ำตาลกลูโคสไปเลี้ยงสมองเพียงพอ รวมถึงทำให้เกิดภาวะเลือดเป็นกรดจนถึงแก่ชีวิตได้
ดังนั้นคุณจึงควรหลีกเลี่ยงการรับประทานเม็ดลิ้นจี่ และควรรับประทานผลลิ้นจี่แต่พอดี เพื่อไม่ให้ส่งผลข้างเคียงต่อร่างกาย
จะเห็นได้ว่า ผลไม้รสหวานก็มีคุณประโยชน์มากกว่ารสชาติที่อร่อย อย่างไรก็ตาม คุณควรรับประทานลิ้นจี่ รวมถึงผักผลไม้ชนิดอื่นๆ ในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อลดผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะระดับปริมาณน้ำตาลที่มากเกินไป ซึ่งเป็นบ่อเกิดของโรคร้ายแรงได้อีกมากมาย
ดูแพ็กเกจตรวจสุขภาพผู้หญิง ผู้ชายทุกวัย เปรียบเทียบราคา โปรโมชั่นล่าสุดจากโรงพยาบาลและคลินิกชั้นนำได้ที่นี่ หรือไม่พลาดทุกการอัปเดตแพ็กเกจต่างๆ เมื่อกดเป็นเพื่อนทางไลน์ @hdcoth และกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android