คันคอและไอบ่อยมากค่ะ ต้องไอถึงจะหายคันคอ เวลาไอเสร็จจะแน่นจมูกทันที มีน้ำมูกและเสมหะ ไอจนหน้าดำหน้าแดง บางทีไอแล้วก็จาม จะไอบ่อยเฉพาะตอนกลางคืนช่วงที่เปิดแอร์นอนค่ะ ตื่นเช้ามาจะคอแห้งมาก ช่วงกลางวันเปิดพัดลมจะคันคอไอแค่ครั้งเดียว และทานอาหารที่มีรสเผ็ด หรือพวกเครื่องแกงฉุนๆไม่ได้ค่ะ ทานเข้าไปคำแรกก็คันคอและไอทันที ปกติเป็นคนที่คัดแน่นจมูกบ่อยอยู่แล้วค่ะ เคยไปพบแพทย์ แพทย์บอกว่าเป็นภูมิแพ้พวกฝุ่น แพทย์แค่จ่ายอย่าแก้แพ้ไว้กินก่อนนอน คันคอไอทุกวัน บางวันก็ไม่เป็นเลยค่ะ อยากทราบว่าต้องปฏิบัติตัวอย่างไรบ้างคะ แล้วเป็นแบบนี้อันตรายไหม เพราะกังวลมากเลยค่ะ

สวัสดีค่ะ อาการไอมากกว่า 2 สัปดาห์ขึ้นไป เป็นอาการที่ควรเริ่มจะต้องหาสาเหตุ เรื่องจากอาจกลายเป็นอาการไอเรื้องรังได้ค่ะ ซึ่งสามารถเป็นได้จากหลายสาเหตุคะ ซึ่งควรจะต้องได้รับการซักประวัติ ตรวจร่างกายเพ่มเติมค่ะว่าอาการร่วมต่างๆมีอะไรบ้าง เพื่อช่วยการวินิจฉัย ได้แก่ 1.หากมีน้ำมูกไหลลงคอ มีปวดตามใบหน้า มีน้ำมูกเขียวข้น อาจเป็นไซนัสอักเสบได้ ควรจะค้องได้รับยาฆ่าเชื้อเฉพาะ และอาจจะต้องตรวจร่างกายส่องดูไซนัส 2.อาการภูมิแพ้ อาจมีอาการไอบ่อยๆ โดยเฉพาะถ้ามีไอกลางคืนบ่อยๆ ทำกิจกรรมแล้วเหนื่อยมากขึ้น ร่วมกับถ้าคนไข้สุบบุหรี่ อาจมีปัญหาหลอดลมตีบ หรือ หอบหืดได้ หรือไอมากเมื่ออยู่ในห้องที่ฝุ่นค่อนข้างเยอะหรือ ไปทุ่งดอกไม้เป็นต้นคะ 3.วัณโรคปอด ต้องถามเพิ่มเติมว่ารอบตัวคนไข้มีใครไอเรื้อรัง ไหม คนไข้มีอาการอื่นๆร่วมด้วยหรือไม่ เช่น เบื่ออาหาร น้ำหนักลด เป็นต้น 4.เส้นเสียง กล่องเสียงอักเสบ อาจมีอาการไอเรื้อรัง เสียงแหบได้ มีเสมหะในคอ 4. อาจไม่เกี่ยว กับการติดเชื้อหรือภูมิแพ้ ได้แก่ กรดไหลย้อน ซึ่ง อาจมีอาการจุกแสบแน่นอก และแสบร้อนยอดอก ระคายเคืองกล่องเสียง อาจมีอาการไอเรื้อรังได้ เยื้องต้นแนะนำให้ไปตรวจกับอายุรแพทย์ หรือ แผนกหูคอจมูก เพื่อตรวจร่างกายอย่างละเอียดและส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติมค่ะ ส่วนยาแก้ไอโดยปกติมีอยู่สองชนิดด้วยกัน 1.ยาละลายเสมหะ จะทำการละลายเสมหะทำให้ไอและขับเสมหะได้มากขึ้นยาแก้ไอชนิดนี้ส่วนใหญ่จะทำให้ไอลดลงจากการที่เสมหะลดลงคะ 2.ยากดการไอ ยาจะไปยับยั้งไม่ให้เกิดการไอเกิดขึ้นมักจะใช้ในกรณีไอแห้งๆไม่มีเสมหะไอจากอาการแพ้หรือหลอดลมตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นไวเกินคะ ไม่แนะนำให้ใช้ในการอักเสบตอดเชื้อเนื่องจากจะขับเอาเสมหะออกไม่ได้ ในกรณีนี้อาการอย่างเดียวอาจจะยังสรุปไม่ได้ว่าเป็นจากสาเหตุอะไรแนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อหาวาเหตุเพิ่มเติมจึงจะรักษาได้ถูกต้องตามการงินิจฉัยคะ