September 14, 2019 21:55
ตอบโดย
กันตณัฏฐ์
อยู่ตรีรักษ์ (แพทย์ทั่วไป)
(นพ.)
General physician
สวัสดีครับ
การมีบุคลิกภาพหรือนิสัยที่เพิ่งมาเปลี่ยนไปในภายหลังนั้นอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุครับ เช่น
- การมีโรคความผิดปกติทางอารมณ์บางอย่าง
- โรคความผิดปกติของความคิดบางชนิด
- ผลจากการใช้ยาบางอบ่าง
- ความผิดปกติภายในสมองบางอย่างที่ทำให้บุคลิกเปลี่ยนไป
- ผลข้างเคียงของยาบางชนิด
ซึ่งในกรณีนี้ก็จำเป็นต้องมีการตรวจประเมินดูลักษณะของอารมณ์ทความคิด และพฤติกรรมโดยละเอียดผ่านการพูดคุยกับจิตแพทย์ก่อนจึงจะบอกสาเหตุที่แน่ชัดได้มากขึ้นครับ
ในกรณีนี้หมอแนะนำให้พาสามีไปพบจิตแพทย์เพื่อตรวจประเมินอาการเพิ่มเติมดูก่อน เมื่อทราบสาเหตุที่แน่ชัดแล้วก็จะได้ให้การรักษาที่เหมาะสมต่อไปครับ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
ครอบครัวลองคุยกับสามีจะพาไปหาหมอรพ.สวนสราญรมณ์ แต่สามีไม่ไป บอกว่าตัวเองไม่เป็นอะไร เขาเข้าใจว่สไปแล้วจะเสียอนาคต ไม่มีสิทธิ์ครอบครองบ้านรถหรือดูแลปกครองภรรยาและลูก ต้องทำยังไงดีคะ จับไปเลยดีไหม พ่อแม่เค้าค่อนข้างกังวลและอยากพาไปรักษา และภรรยาเองกำลังตั้งครรภ์ กลัวมีผลกับลูกคะ
ตอบโดย
กันตณัฏฐ์
อยู่ตรีรักษ์ (แพทย์ทั่วไป)
(นพ.)
General physician
ถ้าหากสามีไม่ได้มีอาการรุนแรงจนถึงขั้นที่ทำร้ายตัวเองหรือผู้อื่นการจับบังคับรักษาก็เป็นเรื่องที่สามารถทำได้ยากครับ สำหรับในกรณีนี้สิ่งที่น่าจะพอช่วยสื่อสารกับสามีได้ คือ ควรบอกให้สามีทราบว่าการมีประวัติว่าเคยตรวจประเมินอาการกับจิตแพทย์นั้นจะไม่ได้มีผลทำให้เสียอนาคตหรือเสียสิทธิ์ครอบครองสิ่งต่างๆไปครับ ในทางตรงกันข้ามถ้าหากสามียังใช้ชีวิตด้วยพฤติกรรมในลักษณะตามที่เล่ามาไปเรื่อยๆโดยไม่มีการแก้ไข ความสัมพันธ์ในครอบครัวก็อาจจะแย่ลง รวมถึงอาจทำให้เกิดปัญหาในที่ทำงานตามมาได้ด้วย ซึ่งก็จะทำให้มีผลเสียต่อการใช้ชีวิตในอนาคตได้ครับ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
ตอบโดย
ศิรินทิพย์ ผอมน้อย (นักจิตวิทยาคลินิก)
สวัสดีค่ะ ..การที่สามีมีอารมณ์ พฤติกรรมเปลี่ยนไป ในช่วง 3-4 ปี มานี้ อาจเกิดไจากความผิดปกติของการทำงานของสมอง ซึ่งอาจเกิดได้จากหลายปัจจัย ได้แก่ ผลจากการใช้สารเสพติด อาการของโรคทางด้านจิตเวชที่เกิดจากกรรมพันธ์ เป็นต้น
ในประเด็นนี้ หากญาติต้องการพาเขาไปพบจิตแพทย์ที่สราญรมย์ เบื้องต้นลองพูดคุยกับเขาในทำนองว่า สวนสราญรมย์เป็นที่ที่รักษาอาการผิดปกติทางด้านความคิด อารมณ์ พฤติกรรม ซึ่งมีตั้งแต่อาการเล็กน้อย ไปจนถึงอาการรุนแรงมาก หากได้รับการตรวจรักษาตั้งแต่อาการเล็กน้อย มีโอกาสหายเป็นปกติได้ แต่หากปล่อยไว้นานๆ อาการจะแย่ลง จนรักษายาก ลองเกลี้ยกล่อมให้เขาได้ไปตรวจดูก่อน หากไม่ผิดปกติใดๆ ก็ไม่เป็นไร การตรวจรักษาด้านนี้ไม่มีผลกับสิทธิ์ในการครอบครองบ้าน หรือรถแต่อย่างใด ประวัติการรักษาจะถูกเก็บเป็นความลับ ไม่ต้องกังวลกลัวใด และบอกเขาว่าที่เราอยากให้ไปตวจรักษาเพื่อป้องกันไว้ก่อน เราเป็นห่วงเขา ทุกคนเป็นห่วงเขา
สิ่งสำคัญ คือ อย่าเพิ่งตัดสินว่าตอนนี้เขาป่วยก่อน (เพราะการเจ็บป่วยทางจิตเวชเป็นเรื่องที่หลายๆคนยังมีความเข้าใจผิดคิดว่าเป็นอาการของคนเสียสติ จึงทำให้ต่อต้านที่จะเข้าพบจิตแพทย์ค่ะ )
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
เป็นอาการของสามีคะ อาการแบบเห็นผิดเป็นถูก บอกซ้ายไปขวา ใครพูดอะไรก็ไม่้เคยเชื่อไม่ฟังและเถียง เอาแต่ความคิดตัวเองเป็นหลัก ต่อให้ผิดก็ไม่รับฟังใคร บางครั้งผู้ใหญ่ขอให้ช่วยงานก็ไม่ทำเลย จะยืนมอง แต่ไม่ช่วย เช่นยืนดูพ่อขนหินมาถมดิน ไม่ช่วยหยิบช่วยจับ หรือนั่งดูคนอื่นเขาช่วยกันทำงาน ใครขอให้ช่วยไม่ทำ ทำสิ่งที่เขาไม่ขอและไม่จำเป็นต้องทำ ลำดับความสำคัญไม่ได้ว่าอะไรมาก่อนหลัง ไม่แคร์ความรู้สึกของภรรยาหรือพ่อแม่เลย จะทำยังไงดีคะ อาการพวกนี้เพิ่งเป็นมา3ถึง4ปี เมื่อก่อนไม่ได้เป็นขนาดนี้
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต (คำตอบนี้เป็นการให้คำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรคหรือการรักษา คุณควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจหากมีอาการน่ากังวล)