March 23, 2017 16:45
ตอบโดย
สุเทพ สุขนพกิจ
อาการแพ้ท้องเป็นอาการที่พบบ่อยในผู้ที่ตั้งครรภ์อ่อน ๆครับ (ภายใน 3 เดือนแรก)ส่วนใหญ่อาการแพ้ท้องจะเกิดขึ้น เมื่อประจำเดือนขาดไปประมาณ 2 สัปดาห์ ถ้าจะนับอายุครรภ์ก็ประมาณ 6 สัปดาห์ อาการแพ้ท้องนี้จะเพิ่มขึ้น คือแพ้มากขึ้นเรื่อยๆ และจะแพ้หนักที่สุดในช่วงสัปดาห์ที่ 9 หลังจากนั้นอาการก็จะเริ่มดีขึ้นและไม่ได้หายไปทันทีเมื่อครบ 9 สัปดาห์หรือ 3 เดือน คุณแม่ส่วนใหญ่จะหายแพ้ในช่วงสัปดาห์ที่ 14 แต่ก็มีคุณแม่บางคนที่มีอาการแพ้ท้องไปจนถึงคลอดได้ครับ บางคนก็แทบไม่มีอาการแพ้ท้องเลย ซึ่งก็ถือว่าเป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นได้ครับ ซึ่งสาเหตุเนื่องมาจากการปรับเปลี่ยนของฮอร์โมนของแต่ละคนไม่เหมือนกันครับ
และที่สิ่งที่ต้องระวังคือครรภ์ไข่ปลาอุกครับ เกิดจากความผิดปกติของรก มีลักษณะเหมือสาคูหรือไข่ปลาเม็ดเล็ก ๆ โยงต่อกันเหมือนถุงน้ำ ภายในจะมีน้ำใส ๆ อยู่ ซึ่งคนที่ตั้งครรภ์ไข่ปลาอุกจะมีอากาแพ้ท้องรุนแรงได้เช่นกันครับ และขนาดท้องก็จะโตขึ้นเรื่อยครับ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
ตอบโดย
ภาณุพงษ์ วิมูลชาติ (นพ.)
อาการแพ้ท้อง หรือ Morning sickness เป็นอาการแสดงออกอย่างอย่างหนึ่งของการตั้งครรภ์ แต่ก็ไม่จำเป็นว่าหญิงตั้งครรภ์ทุกรายจะต้องมีอาการแพ้ท้อง บางรายอาจไม่มีอาการใดๆเลยซึ่งก็ไม่ถือว่าผิดปกติแต่อย่างใด แต่บางรายอาจมีแค่อาการคลื่นไส้เพียงเล็กน้อย หรือบางรายอาจรุนแรงถึงขั้นอาเจียนตลอด วิงเวียนศีรษะ โดยเฉพาะมักเป็นในตอนเช้า รับประทานอะไรไม่ได้เลย น้ำหนักลด
สาเหตุของอาการแพ้ท้องที่แท้จริงนั้นไม่ทราบแน่ชัดว่าเกิดจากสาเหตุใด แต่พบว่ามีปัจจัยสำคัญๆ 2 อย่างที่ทำให้เกิดอาการแพ้ท้อง นั่นก็คือ
1. ฮอร์โมนที่สร้างจากรกที่ชื่อว่า HCG (Human Chorionic Gonadotropin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่บ่งชี้ถึงการตั้งครรภ์ เพราะภายหลังจากที่ตัวอ่อนฝังตัวในโพรงมดลูก และรกมีการพัฒนาเพิ่มจำนวนมากขึ้น ก็จะเริ่มมีการสร้างฮอร์โมน HCG ขึ้นทันที ซึ่งฮอร์โมน HCGมีผลทำให้ประสาทสัมผัสในการรับกลิ่นไวขึ้น ประสาทสัมผัสในการรับรสแย่ลง อีกทั้งระบบต่างๆในร่างกายเปลี่ยนแปลงไปจากภาวะปกติจึงทำให้เกิดอาการแพ้ท้อง โดยปกติแล้วในช่วง1สัปดาห์แรกที่ประจำเดือนขาดหายไปเนื่องจากตั้งครรภ์ รกจะเริ่มสร้างฮอร์โมน HCG ในปริมาณต่ำๆ หลังจากนั้นเมื่อรกเจริญเติบโตมากขึ้นตามอายุครรภ์ ก็จะสร้างฮอร์โมน HCGในปริมาณที่สูงขึ้นเรื่อยๆ จนมีปริมาณสูงสุดช่วงอายุครรภ์ 10-12 สัปดาห์ จากนั้นก็จะค่อยๆลดต่ำลงจนอยู่ในระดับคงที่ตั้งแต่อายุครรภ์ 16 สัปดาห์เป็นต้นไป ดังนั้นจึงสามารถอธิบายได้ว่าเหตุใดหญิงตั้งครรภ์จึงมักเริ่มมีอาการแพ้ท้องได้บ่อยในช่วงอายุครรภ์ 6-7 สัปดาห์และรุนแรงมากที่สุดราวๆ 10-12 สัปดาห์ หลังจากนั้นอาการจะค่อยๆทุเลาลง และมักหายไปภายหลังจาก 16 สัปดาห์ไปแล้วนั่นเอง แต่ก็มีบางรายที่อาการแพ้ท้องยังคงมีอยู่ตลอดช่วงตั้งครรภ์กันเลยทีเดียว
2. สภาพจิตใจ ความเครียด ความวิตกกังวล รวมถึงการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ สามารถส่งผลกระทบถึงสุขภาพร่างกายโดยเฉพาะระบบทางเดินอาหาร ซึ่งมักจะมีการบีบตัวของลำไส้น้อยอยู่แล้วในช่วงตั้งครรภ์ ทำให้การลำเลียงอาหารจากกระเพาะไปยังลำไส้ใช้เวลานานกว่าปกติ อาหารจึงค้างอยู่ในกระเพาะดังนั้น หญิงตั้งครรภ์จึงมักมีปัญหากรดไหลย้อน ท้องผูกได้บ่อย จึงอาจกระตุ้นให้อาการแพ้ท้องกำเริบได้ง่ายและรุนแรงขึ้นได้
กรณีที่มีอาการแพ้ท้องมากๆอาจเป็นการตั้งครรภ์ที่มีภาวะผิดปกติโดยเฉพาะภาวะที่มีความผิดปกติของรกที่สร้างฮอร์โมน HCG ได้มากกว่าปกติ ได้แก่ ครรภ์แฝด เนื่องจากครรภ์แฝดจะมีรกขนาดใหญ่ หรือมีรกมากกว่า 1 จึงทำให้สามารถสร้างฮอร์โมนได้มากกว่าปกติ
หรือ ครรภ์ไข่ปลาอุก ชื่ออาจฟังดูไม่ค่อยคุ้นหูสักเท่าไหร่ แต่ถือเป็นเนื้องอกของรกชนิดหนึ่ง โดยที่รกจะมีลักษณะบวมน้ำ มองเห็นเป็นถุงน้ำใสๆขนาดเล็กจำนวนมาก คล้ายเม็ดสาคูหรือไข่ปลาอุก ถ้าแพ้ท้องรุนแรง จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพของตัวเองและลูกน้อยในครรภ์มั้ย
อาการแพ้ท้องแม้ว่าเป็นอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้ แต่หากมีอาการรุนแรงมากเกินไป แน่นอนว่าต้องส่งผลต่อสุขภาพร่างกายของหญิงตั้งครรภ์รวมถึงลูกน้อยในครรภ์อย่างแน่นอน โดยอาการแพ้ท้องที่รุนแรง มีศัพท์ทางการแพทย์เรียกว่า Hyperemesis Gravidarum ซึ่งจะมีอาการดังนี้ คือ
1. มีอาการแพ้ท้องเกิดขึ้นเร็วและเป็นอยู่นานกว่าหญิงตั้งครรภ์ปกติ ซึ่งโดยปกติอาการจะดีขึ้นภายหลังจาก 12-14 สัปดาห์
2. อาการคลื่นไส้อาเจียนตลอด รับประทานอะไรไม่ได้เลย เหม็นกลิ่นอาหารไปเสียทุกอย่าง น้ำก็ดื่มไม่ได้ หรืออาเจียนออกมาจนหมด อาจอาเจียนเอาน้ำย่อยรสเปรี้ยวสีเขียวปนเหลืองออกมาเพราะไม่มีอาหารในกระเพาะเหลือแล้ว ทำให้ระคายคอ อาจมีเลือดปน หรือบางรายเส้นเลือดฝอยที่ตาขาวแตก
3. น้ำหนักลดลงจากช่วงก่อนตั้งครรภ์ 3-4 กิโลกรัมขึ้นไป
4. ร่างกายขาดน้ำรุนแรง อ่อนเพลียมาก ริมฝีปากแห้ง คอแห้ง ปัสสาวะออกน้อย สีเหลืองเข้ม
5. หน้ามืดเป็นลม
หากมีอาการเหล่านี้อย่านิ่งนอนใจควรรีบมาพบแพทย์ เพื่อแพทย์จะได้พิจารณาให้น้ำเกลือชดเชยเกลือแร่และสารอาหารที่จำเป็น ให้ยาระงับอาการคลื่นไส้อาเจียนเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนรุนแรงที่จะเกิดขึ้นตามมา อาจถึงขั้นต้องรับไว้รักษาในโรงพยาบาล เนื่องจากอาการต่างๆเหล่านี้อาจส่งผลเสียต่อร่างกายทั้งแม่และลูกได้ครับ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
ท้อง6เดือนมีอาการวิงเวียนอาเจียน
จะเป็นอะไรใหม
ทำเลสิกวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 25,500 บาท ลดสูงสุด 35%!!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
ตอนนี้อายุครรภ์7เดือนแล้ว แต่มีอาการคลื่นใส้เหม็นอาหารอยากอาเจียน แบบนี้เกิดจากอะไรค่ะ ตอนช่วตั้งครรภ์แรกๆไม่ค่อยมีอาการแพ้ท้องค่ะ แล้วตอนนี้น้ำหนักลด จะเป็นอันตรายต่อเด็กหรือป่าวคะ
ตั้งท้อง 7 เดือนแล้วแต่ยังมีอาการแพ้ท้องอยู่เป็นอันตรายกับเด็กในครรภ์หรือไม่
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต (คำตอบนี้เป็นการให้คำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรคหรือการรักษา คุณควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจหากมีอาการน่ากังวล)