ความดัน 135/95/75 ถือว่าเป็นความดันไหมค่ะ ปวดหัวตื้อๆๆ เหมือนไมเกรนค่ะ

สวัสดีครับ
จากตัวเลขที่ให้มานั้นน่าจะหมายถึง ความดัน 135/95 มิลลิเมตรปรอท และอัตราชีพจร 75 ครั้งต่อนาทีนะครับ

ความดันโลหิตของคนเรานั้นจะแบ่งอออกเป็นช่วงๆอย่างง่ายๆ ดังนี้ครับ
- 90/60 - 120/80 มิลลิเมตรปรอท เป็นความดันปกติ
- 121/81 - 140/90 มิลลิเมตรปรอท เป็นระดับความดันที่สูง แต่ยังไม่ถึงขั้นเป็นโรคความดันโลหิตสูง
- มากกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอท คือความดันในช่วงที่ถือเป็นโรคความดันโลหิตสูง

จากค่าความดันที่ให้มานั้นจึงจัดอยู่ในช่วงความดันที่ค่อนข้างสูงครับ แต่ยังไม่ถึงขั้นเป็นโรคและไม่จำเป็นต้องรักษาด้วยยา
การดูแลตัวเองในเบื้องต้นที่ระดับความดันโลหิตเท่านี้นั้นแนะนำให้ใช้การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารและออกกำลังกายเป็นหลักครับ
- ในส่วนของอาหารนั้นแนะนำให้ลดการรับประทานอาหารที่มีรสเค็ม เนื่องจากจะเพิ่มระดับโซเดียมในร่างกายและส่งผลให้ความดันโลหิตสูงขึ้นได้
- การออกกำลังกายแนะนำให้ทำเป็นประจำ โดยให้ออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องอย่างน้อยวัยละ 30 นาที และอย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 วัน

ส่วนอาการปวดศีรษะนั้นอาจไม่ได้อธิบายได้จากระดับความดันโลหิตที่สูงเพียงเท่านี้ครับ คงต้องดูจากปัจจัยอื่นๆประกอบด้วย เช่น ความเครียด การพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือในบางครั้งก็อาจเป็นการปวดศีรษะที่หาสาเหตุมาอธิบายไม่ได้แน่ชัด เช่น โรคไมเกรน

แนะนำให้ลองไปพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายและประเมินเรื่องอาการปวดศีรษะเพิ่มเติมดูครับ
ส่วนความดันโลหิตนั้นอาจจะต้องมีการวัดซ้ำอยู่เป็นระยะเพื่อดูค่าเฉลี่ยว่าความดันโลหิตอยู่ในระดับใด การวัดความดันครั้งเดียวยังไม่เพียงพอที่จะใช้ในการบอกว่าเป็นความดันตามปกติหรือเป็นโรคความดันโลหิตสูงครับ

อาการปวดศีรษะนั้นเกิดได้จากหลายสาเหตุครับ ทั้งนี้การจะวินิจฉัยสาเหตุของอาการปวดศีรษะให้ได้แน่ชัดจะต้องมีการตรวจร่างกายทางระบบประสาทเพิ่มเติมเพื่อดูว่าอาการที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้มีสาเหตุมาจากภายในสมอง

ในกรณีที่ตรวจแล้วไม่พบสาเหตุจากภายในสมอง สาเหตุของอาการปวดศีรษที่พบได้บ่อยก็มีดังนี้ครับ
- ปวดศีรษะจากกล้ามเนื้อขมับเกร็งตัว ลักษะณะอาการปวดจะเป็นแบบปวดบีบๆ 2 ข้าง มักสัมพันธ์กับความเครียด ความกังวล การพักผ่อนไม่เพียงพอ
- ปวดศีรษะแบบไมเกรน อาการปวดศีรษะมักเป็นเพียงข้างใดข้างหนึ่ง อาจมีปวดสลับข้างได้ในแต่ละครั้งที่เกิดอาการ ลักษณะการปวดมักปวดแบบตุ้บๆ ร่วมกับอาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียน และอาจถูกกระตุ้นให้ปวดมากขึ้นจากการเห็นแสงสว่างมากๆ หรือการได้ยินเสียงดังๆ
- ปวดศีรษะแบบเป็นชุดๆ(Cluster headache) อาการปวดศีรษะในลักษณะนี้มักจะรุนแรงมากเมื่อปวดในแต่ละครั้ง มักมีอาการน้ำตาไหล ตาแดง น้ำมูกไหลขณะที่มีอาการปวดร่วมด้วย และอาการมักจะปวดเป็นๆหายๆ มาเป็นชุดๆ

การวินิจฉัยสาเหตุของอาการปวดศีรษะนั้นค่อนข้างละเอียดอ่อน และต้องอาศัยการตรวจร่างกายร่วมด้วยครับ
หมอแนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อตรวจประเมินอาการเพิ่มเติมดูครับ

ความดันโลหิตของคนเรานั้นจะแบ่งอออกเป็นช่วงๆอย่างง่ายๆ ดังนี้ครับ
- 90/60 - 120/80 มิลลิเมตรปรอท เป็นความดันปกติ
- 121/81 - 140/90 มิลลิเมตรปรอท เป็นระดับความดันที่สูง แต่ยังไม่ถึงขั้นเป็นโรคความดันโลหิตสูง
- มากกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอท คือความดันในช่วงที่ถือเป็นโรคความดันโลหิตสูง

จากค่าความดันที่ให้มานั้นจึงจัดอยู่ในช่วงความดันที่ค่อนข้างสูงครับ แต่ยังไม่ถึงขั้นเป็นโรคและไม่จำเป็นต้องรักษาด้วยยา
การดูแลตัวเองในเบื้องต้นที่ระดับความดันโลหิตเท่านี้นั้นแนะนำให้ใช้การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารและออกกำลังกายเป็นหลักครับ
- ในส่วนของอาหารนั้นแนะนำให้ลดการรับประทานอาหารที่มีรสเค็ม เนื่องจากจะเพิ่มระดับโซเดียมในร่างกายและส่งผลให้ความดันโลหิตสูงขึ้นได้
- การออกกำลังกายแนะนำให้ทำเป็นประจำ โดยให้ออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องอย่างน้อยวัยละ 30 นาที และอย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 วัน

ความดันโลหิตของคนเรานั้นจะแบ่งอออกเป็นช่วงๆอย่างง่ายๆ ดังนี้ครับ
- 90/60 - 120/80 มิลลิเมตรปรอท เป็นความดันปกติ
- 121/81 - 140/90 มิลลิเมตรปรอท เป็นระดับความดันที่สูง แต่ยังไม่ถึงขั้นเป็นโรคความดันโลหิตสูง
- มากกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอท คือความดันในช่วงที่ถือเป็นโรคความดันโลหิตสูง

ค่าความดันโลหิตที่ 130/95 มิลลิเมตรปรอทนั้นค่าความดันตัวบน 130 จัดอยู่ในเกณฑ์ที่สูงแต่ยังไม่เป็นโรค ส่วนค่าความดันตัวล่าง 95 นั้นถือว่าอยู่ในกลุ่มที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงได้แล้ว

แต่เนื่องจากความดันตัวบนยังไม่เข้าเกณฑ์การวิจฉัยโรคความดันโลหิตสูง ในเบื้องต้นจึงยังไม่ถึงขั้นที่ต้องรับประทานยา แต่หมอแนะนำให้ใช้วิธีการควบคุมอาหารและออกกำลังกายไปก่อน ร่วมกับไปพบแพทย์เพื่อตรวจวัดความดันและตรวจประเมินสุขภาพอย่างน้อยปีละ 1 ครั้งครับ