September 30, 2019 11:09
ตอบโดย
วชิรวิทย์ สุทธิศักดิ์ (แพทย์ทั่วไป) (นพ.)
1.เลือดที่ออกจะเเยกว่าอันไหนเป็นเลือดประจำเดือน หรือเลือดจากผลของยาคุมฉุกเฉินนั้นเเยกค่อนข้างยากครับ เเต่พอดูวันได้ ถ้าใกล้เคียงกับรอบเดือนอื่นๆ ก็น่าจะเป็นประจำเดือน(ในคนที่ประจำเดือนมาตรง)
ส่วนเลือดจากผลของยาคุมฉุกเฉินนั้น ส่วนใหญ่ จะออกมาหลังกินยา ภายใน 7 วัน ซึ่งบางคนอาจจะไม่มีครับ
2.ถ้าไม่ได้ป้องกันในรอบนี้ เเละมีการหลั่งในก็สามารถเริ่มยาคุมฉุกเฉินแผงใหม่ได้ครับแต่อาจเพิ่มความเสี่ยงของอาการข้างเคียงจากยา เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เจ็บเต้านม เลือดประจำเดือนแปรปรวน หรือมีเลือดออกผิดปกติ ดังนั้นหากต้องการมีเพศสัมพันธ์ต่อไปแนะนำให้ใช้ถุงยางอนามัย หรือรับประทานยาคุมกำเนิดชนิดปกติทั่วไปครับ
...............
เเละเดือนนึงไม่ควรใช่ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินเกินสองเเผงครับ
...............
ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินมีผลรบกวนกระบวนการตกไข่ รบกวนการที่อสุจิจะเข้าไปผสมกับไข่ รวมทั้งส่งผลเปลี่ยนแปลงเยื่อบุโพรงมดลูกเพื่อทำให้ยากแก่การฝังตัวของไข่ที่ผสมกับอสุจิแล้ว การรับประทานยาคุมฉุกเฉินไม่ได้มีผลป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 100% แต่เป็นการไปลดโอกาสตั้งครรภ์ลงจากเดิม ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินหากรับประทานยาเม็ดแรกภายใน 72 ชั่วโมง หลังการมีเพศสัมพันธ์ตามด้วยยาเม็ดที่สอง จะให้ประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 75% แต่หากเริ่มยาเม็ดแรกภายใน 24 ชั่วโมง หลังการมีเพศสัมพันธ์ จะให้ประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์เพิ่มขึ้นเป็น 85% ดังนั้นจึงควรรับประทานยาเม็ดแรกหลังการมีเพศสัมพันธ์ให้เร็วที่สุดครับ
หลังรับประทานยาคุมฉุกเฉินจะมีเลือดออกทางช่องคลอดได้ ประมาณ ภายใน1 สัปดาห์หลังกินยา ซึ่งไม่ใช่เลือดประจำเดือน (อาจจะมากระปริบกระปรอย หรือ ไม่มีก็ได้ครับ)
ส่วนประจำเดือนจะมาไกล้เคียงกับรอบประจำเดือนปกติ เเต่อาจมาเร็วหรือช้ากว่ารอบเดือนปกติได้ 1-3สัปดาห์
ดังนั้น หากเกิน3สัปดาห์ไปเเล้วจากวันที่ประจำเดือนควรจะมา
ให้ตรวจการตั้งครรภ์ครับ
........
การจะให้ชัวร์ว่าไม่ท้องก็ต้องรอประจำเดือนจริงๆมาครับ ซึ่งก็อาจจะเลื่อนได้จากผลของยา
หากต้องการตรวจการตั้งครรภ์ ตรวจได้เร็วที่สุด2สัปดาห์หลังมีเพศสัมพันธ์ครับ
ระหว่างรอประจำเดือนจริงๆมา ถ้ามีเพศสัมพันธ์ใช้ถุงยางไปก่อนครับ
เเละการคุมกำเนิดโดยการคุมกำเนิดฉุกเฉินไม่ควรใช้เกินสองแผงต่อเดือนครับ
...........
ถ้าชัวร์ว่าไม่ท้องคือประจำเดือนมาเเล้ว เเนะนำเลือกวิธีคุมกำเนิด เช่น ยาคุมรายเดือน ฝังยาคุม ฉีดยาคุม หรือใช้ถุงยางอนามัยครับ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
ตอบโดย
กันตณัฏฐ์
อยู่ตรีรักษ์ (แพทย์ทั่วไป)
(นพ.)
General physician
สวัสดีครับ
ถ้าหากประจำเดือนเพิ่งหมดไปและมีเลือดออกมาในปริมาณเพียงเล็กน้อยหลังรับประทานยาคุมฉุกเฉินก็จะมีโอกาสที่เลือดที่ออกมานั้นจะเป็นผลข้างเคียงที่เกิดจากการรับประทานยาคุมฉุกเฉินได้ครับ และการที่ได้มีเพศสัมพันธ์โดยไม่มีการป้องกันอีกหลังรับประทานยาคุมฉุกเฉินไปแล้วก็จะไม่ปลอดภัยเนื่องจากยาคุมฉุกเฉินจะไม่สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ในครั้งนี้ได้แล้วครับ
ในกรณีนี้หมอแนะนำว่าควรหายาคุมฉุกเฉินมารับประทานเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ใหม่อีกครั้งก่อน โดยให้รับประทานภายใน 120 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์เพื่อที่จะช่วยลดโอกาสตั้งครรภ์ลง 75-85% ครับ
ส่วนหลังจากนี้หมอก็แนะนำให้สังเกตดูว่าเลือดที่ออกมานั้นออกมาในปริมาณมากหรือไม่ ถ้าหากเลือดออกมามากผิดปกติและออกมาติดต่อกันหลายวันก็ควรไปพบแพทย์นรีเวชเพื่อตรวจประเมินอาการเพิ่มเติมด้วยเนื่องจากมีโอกาสที่จะเกิดจากความผิดปกติอื่นๆนอกเหนือจากยาคุมฉุกเฉินได้
และหลังจากนี้ถ้าหากจะมีเพศสัมพันธ์อีกก็ควรมีการป้องกันทุกครั้งเพื่อความปลอดภัยครับ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
สวัสดีค่ะ เมื่อวันเสาร์ที่28กย.หนูมีอะไรกับแฟน แต่หนูมีเลือดและเลือดหนูก็มาแค่วันเดียวคือวันที่28 พอมาวันนี้วันที่29 เลือดก็ไม่ค่อยมีแล้วค่ะ แล้วแฟนหลั่งในและก็ไม่ได้ใส่ถุงยาง ซึ่งเมนส์หนูมาไปแล้วเมื่อประมาณอาทิตย์ที่แล้ว หนูไม่รู้ว่าเลือดที่มาครั้งนี้เป็นเลือดที่เกิดจากการกินยาคุมฉุกเฉินรึเปล่า เพราะก่อนหน้านี้หนูก็มีอะไรกับแฟนแต่ไม่ได้ปกป้องและหลั่งนอก หนูกลัวว่ามันอาจจะเสี่ยงตั้งครรภ์เลยได้กินยาคุมฉุกเฉินไป หนูเลยอยากจะทราบว่า ครั้งนี้หนูควรกินยาคุมฉุกเฉินอีกไหม
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต (คำตอบนี้เป็นการให้คำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรคหรือการรักษา คุณควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจหากมีอาการน่ากังวล)