"หูด" โรคผิวหนังชนิดหนึ่ง ที่มีลักษณะเป็นเม็ดตุ่มนูน แข็ง มีรากอยู่ข้างใน มีหลายขนาด สามารถเกิดได้กับทุกเพศทุกวัย โดยเมื่อเกิดขึ้นแล้วจะค่อยๆ โตอย่างช้าๆ ไม่มีอาการ พบได้บ่อยตามมือและเท้า
โรคหูดเกิดจากอะไร มีกี่ชนิด มีอาการอะไรบ้าง แล้วจะรักษาอย่างไร ไปติดตามอ่านกันเลย
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
สาเหตุของโรคหูด
หูด มีสาเหตุจากการติดเชื้อไวรัสเอชพีวี (Human papilloma virus: HPV) โดยเชื้อไวรัสจะกระตุ้นให้ส่วนผิวหนังของเซลล์หนังกำพร้าค่อยๆ หนาตัว หรือแข็งตัวขึ้น มีระยะฟักตัวราว 1-6 เดือน
โรคหูดสามารถติดต่อได้ผ่านการสัมผัสผัวหนังโดยตรง และการมีเพศสัมพันธ์ ขึ้นอยู่กับชนิดของหูด
ผู้ที่มีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคนี้ คือ ผู้ที่มีระบบความต้านทานของโรคต่ำ เช่น ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน ผู้ที่ไม่สบายบ่อยๆ และร่างกายอ่อนแอ ทำให้ติดเชื้อต่างๆ ได้ง่าย
ชนิดของหูด
หูด แต่ละชนิด จะแตกต่างกันตามลักษณะที่เกิดขึ้น แบ่งเป็น 3 ชนิด ดังนี้
- หูดที่มีลักษณะธรรมดา (common wart) มีลักษณะเป็นตุ่มเม็ดนูนแข็งขึ้นจากผิวหนังชั้นกำพร้า ลักษณะผิวค่อนข้างขรุขระ อาจมีเม็ดเดียว หรือหลายเม็ด พบได้บ่อยบริเวณแขน ขา มือ และเท้า
- หูดชนิดแบน (plane wart) มีลักษณะเป็นตุ่มเม็ดเล็กแข็ง ผิวเรียบ พบได้บ่อยบริเวณหลังมือ และหน้าผาก
- หูดฝ่าเท้า (plantar wart) มีลักษณะเป็นไต แผ่นหนาแข็ง มีขนาดใหญ่กว่าหูดแบบธรรมดา มีรอยปื้นใหญ่ พบได้บ่อยบริเวณฝ่าเท้า และข้างใต้ฝ่าเท้า
อาการของโรคหูด
ปกติแล้ว ผู้ป่วยโรคหูดมักจะไม่แสดงอาการใดๆ ไม่มีอาการคัน แดง หรือบวม แต่หากหูดเกิดบริเวณฝ่าเท้า ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นคือ เมื่อเดินจะทำให้เกิดการกดทับหูดโดยตรง อาจทำให้บริเวณที่เป็นหูดมีอาการเจ็บได้
วิธีการรักษาโรคหูด
การรักษาหูด แพทย์จะใช้หลักการทำลายเซลล์ที่ติดเชื้อไวรัสให้หายไป ซึ่งทำได้หลายวิธี เช่น
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
- การทายา มักจะใช้กับหูดที่มีขนาดเล็ก นิยมใช้ยาที่มีส่วนผสมของกรดซาลิซิลิก กรดไตรคลออะซิติก หรือไบคลออะซิติก โดยระยะเวลาที่รักษาจะขึ้นอยู่กับขนาดของหูด
- การจี้ด้วยไนโตรเจนเหลว เป็นวิธีการรักษาด้วยความเย็น หากหูดมีแผ่นหนาแพทย์จะฝานก่อนจี้ หลังการจี้ 1 วัน แผลจะบวมพองเป็นตุ่มน้ำ อาจมีเลือดออกอยู่ข้างใน หลังจากนั้นจะค่อยๆ ตกสะเก็ด และหายไป ใช้เวลาประมาณ 1-3 สัปดาห์ จำนวนครั้งที่จี้ขึ้นอยู่กับขนาด และลักษณะของหูด
- การจี้ด้วยไฟฟ้า เป็นการรักษาโดยใช้ความร้อน โดยแพทย์จะคำนึงถึงขนาด และลักษณะของหูดแต่ละชนิด เพื่อเลือกการรักษาที่เหมาะสมกับหูดนั้นๆ
- การจี้ด้วยเลเซอร์คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2 Laser) หลังจากรักษา บริเวณรอยโรคจะเกิดแผล และตกสะเก็ดราว 1 สัปดาห์ แล้วแผลก็จะค่อยๆ จางหายไป
- การผ่าตัดออก พบว่า วิธีนี้จะไม่ค่อยเป็นที่นิยมมากนัก วิธีการคือ ผ่าตัดเอาก้อนหูดออกจากผิวหนังไปทั้งก้อน
- ภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy) เป็นการใช้ภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยเองในการกำจัดหูด จะใช้วิธีนี้ได้ก็ต่อเมื่อการรักษาด้วยวิธีอื่นไม่ได้ผล ตัวอย่างภูมิคุ้มกันบำบัด เช่น การทา Diphencyprone (DCP) ที่หูด ซึ่งจะทำให้หูดหายไปได้
การป้องกันตนเองจากหูด
โดยปกติแล้ว หูด สามารถหายได้เอง แต่อาจต้องใช้ระยะเวลาเป็นเดือน หรือเป็นปี สิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันหูด คือ การรักษาความสะอาดเพื่อไม่ให้เชื้อต่างๆ เข้าสู่ร่างกายจนทำให้เกิดการแพร่กระจายไปยังส่วนต่างๆ ได้
โรคหูดนั้น เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ การรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ เช่น รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดีขึ้น ช่วยลดโอกาสเกิดการติดเชื้อต่างๆ ได้
และแม้ว่า หูดจะหายไปแล้ว ก็ควรรักษาความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ
ดูแพ็กเกจตรวจสุขภาพ เปรียบเทียบราคา โปรโมชั่นล่าสุดจากโรงพยาบาลและคลินิกชั้นนำได้ที่นี่ หรือไม่พลาดทุกการอัปเดตแพ็กเกจเหล่านี้ เมื่อกดเป็นเพื่อนทางไลน์ @hdcoth และกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android