ในปัจจุบัน วิตามิน เป็นเสมือนหนึ่งในตัวช่วยสำคัญในการดูแลสุขภาพ วิตามินต่างๆ มีคุณประโยชน์ช่วยเสริมสร้าง ดูแล และกระตุ้นการทำงานของร่างกายให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ตามปกติแล้วหลายคนคงคุ้นชินกับวิตามินรูปแบบเม็ด แคปซูล ผงละลายน้ำ รับเข้าร่างกายได้ด้วยการรับประทาน หรืออีกรูปแบบที่พบเจอได้บ่อยคือวิตามินในครีมทาผิว ความจริงคุณสามารถรับวิตามินเข้าสู่ร่างกายได้อีกทางหนึ่ง ด้วยการ ฉีดวิตามิน (Vitamin therapy) ซึ่งให้ความสะดวก รวดเร็ว เห็นผลไวกว่าการรับวิตามินวิธีอื่น
ฉีดวิตามิน คืออะไร และต่างจากการรับวิตามินรูปแบบอื่นๆ อย่างไร
ฉีดวิตามิน หลายคนอาจรู้จักในชื่อของ “IV Vitamin therapy” หรือเรียกอีกอย่างว่า “IV Vitamin drip” คำว่า IV นั้น ย่อมาจาก Intravenous ซึ่งมีความหมายว่า หลอดเลือดดำ การให้วิตามินในรูปแบบนี้จึงหมายถึงการฉีดวิตามินหรือสารน้ำผ่านทางเส้นเลือดดำเข้าสู่ร่างกายโดยตรงนั่นเอง ซึ่งจะต่างจากการรับวิตามินรูปแบบอื่นๆ ที่ต้องอาศัยกระบวนการย่อย ดูดซึม หรือการคัดกรองต่างๆ เพื่อนำวิตามินเข้าสู่ร่างกาย ตัวอย่างเช่น การรับวิตามินด้วยการรับประทาน ไม่ว่าจะเป็นจากผัก ผลไม้ หรือจากผลิตภัณฑ์อาหารเสริม จะต้องผ่านการทำงานของกระเพาะและระบบย่อยอาหาร ซึ่งร่างกายจะสามารถดูดซึมวิตามินได้เพียงประมาณ 50% ในขณะที่การฉีดวิตามินผ่านทางหลอดเลือดดำ ร่างกายจะสามารถดูดซึมวิตามินได้มากถึง 90%
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
ประโยชน์ของการฉีดวิตามิน
การฉีดวิตามินหรือใช้หลักการพาวิตามินเข้าสู่ร่างกายโดยตรง มีสิ่งที่แตกต่างจากการรับวิตามินวิธีอื่นๆ ดังนี้
- การฉีดวิตามินใช้เวลาน้อย ประมาณ 20-60 นาทีเท่านั้น
- วิตามินจะส่งผลในการบำรุงร่างกายและผิวในทันที
- สามารถกำหนดปริมาณวิตามินที่ต่างกายจะได้รับ ได้อย่างแม่นยำ
ขั้นตอนการฉีดวิตามิน
เพื่อความปลอดภัย การฉีดวิตามินแต่ละครั้งจำเป็นต้องมีการเข้าพบแพทย์ก่อนฉีด และมีขั้นตอนดังต่อไปนี้
- เข้ารับการตรวจเบื้องต้น โดยจำเป็นจะต้องตรวจความดันโลหิต ชีพจร อุณหภูมิกาย น้ำหนัก และส่วนสูง เพื่อใช้ในการคำนวณปริมาณและความเข้มข้นของสารน้ำ รวมถึงอัตราความเร็วในการให้วิตามิน
- พบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพ แพทย์จะซักถามประวัติการเจ็บป่วย ประวัติการแพ้ยา ตลอดจนความกังวลด้านสุขภาพ เพื่อที่จะพิจารณาการให้วิตามินที่เหมาะสม
- เจาะเลือด เพื่อประเมินสภาวะของร่างกายว่าสามารถรับวิตามินในรูปแบบของการฉีดได้อย่างปลอดภัยหรือไม่ รวมไปถึงช่วยในการปรับความเข้มข้น ความถี่ และจำนวนครั้งในการรับวิตามินให้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ
- หลังจากทำการตรวจเบื้องต้นแล้ว แพทย์จะวางแผนการให้วิตามินที่เหมาะสมตามแต่ละบุคคล โดยจะให้สารน้ำที่ผสมวิตามินเข้มข้นทางหลอดเลือดดำบริเวณข้อพับแขนหรือหลังฝ่ามือ คล้ายการให้น้ำเกลือ ในประมาณเวลา 20-60 นาที
เพื่อผลลัพธ์ที่ดีขึ้น แพทย์จะให้คำแนะนำในการดูแลตัวเองหลังจากการรับวิตามิน เช่น ให้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ หมั่นออกกำลังกาย ตลอดจนนอนพักผ่อนให้เพียงพอ พร้อมทั้งวางแผนการเข้ารับวิตามินในครั้งต่อไป
ข้อควรระวังในการฉีดวิตามิน
แม้วิตามินจะมีประโยชน์ และมีความสำคัญต่อร่างกาย แต่ใช่ว่าการรับวิตามินจะไม่มีผลข้างเคียงหรือข้อควรระวังใดๆ เลย ข้อที่ต้องคำนึงถึงใหญ่ๆ ได้แก่ หากได้รับวิตามินในปริมาณมากไปจนเกินความต้องการของร่างกาย ก็ย่อมทำให้เกิดอันตรายและมีปัญหาตามมาในระยะยาวได้
ส่วนอีกข้อควรระวังที่สำคัญของการฉีดวิตามินคือ การเลือกคลินิกหรือสถานพยาบาล เนื่องจากการฉีดวิตามินนั้นใช้การพาสารน้ำเข้าสู่กระแสเลือดโดยตรง ดังนั้นหากคลินิกหรือสถานพยาบาลไม่ได้มาตรฐาน หรือผู้ทำการฉีดวิตามินขาดความเชี่ยวชาญ ก็อาจก่อให้เกิดสถานการณ์ฉุกเฉินได้ เช่น เกิดอาการแพ้สำหรับผู้ที่มีประวัติแพ้ยาบางตัว เป็นต้น
โดยสรุปคือ ควรเลือกคลินิกหรือสถานพยาบาลที่มีแพทย์ พยาบาล ตลอดจนเครื่องมือที่พร้อมช่วยเหลือในยามฉุกเฉิน
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
การฉีดวิตามิน เหมาะกับใคร?
ตามปกติ ทุกคนสามารถรับวิตามินได้จากการรับประทานอาหาร โดยเฉพาะผักและผลไม้อยู่แล้ว ดังนั้นหากสามารถรับประทานได้ตามปกติก็ไม่จำเป็นต้องฉีดวิตามิน
การรับวิตามินด้วยวิธีฉีดนี้เป็นเพียงทางเลือก สำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูร่างกายในระยะเวลารวดเร็ว เช่น ในกลุ่มผู้ไม่มีเวลาดูแลตัวเอง พักผ่อนน้อย หรือออกกำลังกายมาหนัก มีภาวะเจตแล็ก (Jet lag) เครียด หรืออีกกลุ่มที่เหมาะคือผู้ต้องการวิตามินแต่ไม่สะดวกจะรับวิตามินด้วยการรับประทานอาหาร
การฉีดวิตามิน ไม่เหมาะกับใคร
หากคุณเป็นคนที่มีประวัติสุขภาพหรืออาการดังต่อไปนี้ ควรหลีกเลี่ยงการฉีดวิตามิน หรือหากต้องการฉีดจริงๆ ต้องแจ้งอาการให้แพทย์ทราบโดยละเอียด เพื่อพิจารณาความเหมาะสมก่อนทุกครั้ง
- หญิงที่ตั้งครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตร เนื่องจากการรับวิตามินบางชนิดมากเกินไปอาจส่งผลต่อทารกได้ ดังนั้นจึงต้องให้แพทย์ดูแลอย่างใกล้ชิด
- มีประวัติการแพ้ยาหรือวิตามิน หรือเคยมีลักษณะอาการของการแพ้ การให้วิตามินในรูปแบบของการฉีด เป็นการให้วิตามินผ่านทางหลอดเลือดและกระแสเลือด ดังนั้นในคนที่มีอาการแพ้ยาหรือวิตามินต่างๆ ส่งผลให้การแสดงอาการแพ้รวดเร็วและรุนแรงกว่า
- มีปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับไต เช่น ภาวะไตเสื่อม หรือไตวายเรื้อรัง เป็นต้น จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงวิตามินเอ หรือวิตามินบางชนิด ที่อาจมีส่วนผสมของโพแทสเซียมและแมกนีเซียม ซึ่งจะส่งผลต่อการทำงานของไต
- มีอาการป่วยโรคพร่องเอนไซม์ G6PD เนื่องจากผู้ป่วยในโรคนี้ต้องหลีกเลี่ยงอาหารและยาที่อาจก่อให้เกิดภาวะซีดจากเม็ดเลือดแดงแตก ดังนั้นจะรับวิตามินได้ก็ต่อเมื่อแพทย์พิจารณาแล้วว่าจะไม่มีความเสี่ยงเหล่านั้น
- มีการรับประทานยาที่มีฤทธิ์เกี่ยวกับเกล็ดเลือด การให้วิตามินบางตัวทางหลอดเลือด อาจมีผลต่อยาที่ออกฤทธิ์เกี่ยวกับเลือดที่อยู่ในกระแสเลือด เช่น ผู้ที่รับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือด ต้องหลีกเลี่ยงวิตามินอี
- มีโรคประจำตัวและยาที่รับประทานประจำ เนื่องจากโรค อาการป่วย และยาที่รับประทานอยู่อาจมีผลกระทบกับระบบไหลเวียนเลือดและหลอดเลือด
จะเห็นได้ว่า การฉีดวิตามินเป็นทางเลือกหนึ่งของการฟื้นฟูร่างกาย จุดเด่นอยู่ที่ความสะดวก รวดเร็ว และเห็นผลไว ซึ่งตอบโจทย์กับวิถีชีวิตของผู้คนในปัจจุบันที่ต้องเผชิญกับความเร่งรีบและข้อจำกัดในด้านต่างๆ อย่างไรก็ดี จะฉีดวิตามินทุกครั้งจะต้องเลือกทำในโรงพยาบาลหรือคลินิกที่ได้มาตรฐานทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพ
บทความที่เกี่ยวข้อง
รีวิว NAD IV Therapy ที่ Wink Clinic | HDmall
รีวิว Immune Booster ให้วิตามินทางหลอดเลือด ที่ Wink Clinic | HDmall
รีวิว NAD IV Therapy ที่ Wink Clinic | HDmall