มีการตรวจทางห้องปฏิบัติการหลายอย่างจำเป็นต้องตรวจเพื่อยืนยันการวินิจฉัยว่าเป็นวัณโรคระยะแพร่กระจาย
เพื่อชะลอการระบาดของวัณโรค ต้องตรวจพบและให้การรักษาแต่เนิ่นๆ ถ้าตรวจพบวัณโรคในระยะแฝงจะสามารถรักษาได้ก่อนจะเข้าสู่ระยะแพร่เชื้อ ในประเทศสหรัฐอเมริกา การตรวจคัดกรองวัณโรคระยะแฝงจะทำในคนกลุ่ม ต่อไปนี้
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
- คนที่เพิ่งเข้ามาในประเทศสหรัฐอเมริกาจากประเทศที่มีอัตราการป่วยเป็นวัณโรคสูง
- คนที่เริ่มยากดถูมิคุ้มกันซึ่งจะกระตุ้นวัณโรคระยะแฝงให้เป็นโรคได้
- คนที่มีโรคที่เพิ่มความเสี่ยงจะเป็นวัณโรคระยะแพร่กระจายเมื่อมีการติดเชื้อ เช่น เบาหวานที่ต้องฉีดอินซูลิน ไตวายระยะสุดท้าย เคยผ่าตัดกระเพาะอาหาร หรือติดเชื้อเอชไอวี (HIV)
- คนที่กินยาต้านทูเมอร์ เนโครวิส แฟกเตอร์ อัลฟ่า (tumor necrosis factor alpha หรือ TNF-alpha) เช่น ยาอินฟลิกซิแมบ (infliximab) ที่มีชื่อการค้าว่า เรมิเคด (Remicade) ยาอะดาลิมูแมบ (adalimumab) ที่มีชื่อการค้าว่า ฮูมิรา (Humira) หรือยาอีทาเนอร์เซพ (etanercept) ที่มีชื่อการค้าว่า เอนเบรล (Enbrel)
การตรวจคัดกรองวัณโรค
มีการตรวจสามอย่างที่ใช้คัดกรองวัณโรค ได้แก่
- เอ็กซเรย์ปอด (ดีที่สุดในการคัดกรองวัณโรคปอดระยะแพร่กระจาย)
- การตรวจทูเบอร์คูลิน (tuberculin skin test)
- การตรวจวิเคราะห์การหลั่งอินเตอร์เฟียรอนแกมมาในเลือด (interferon gamma release assay หรือ IGRA)
ซึ่งการตรวจสองอย่างหลังนั้นได้รับอนุญาตให้ใช้วินิจฉัยวัณโรคแฝงได้ในประเทศสหรัฐอเมริกา
การตรวจทูเบอร์คูลินนั้นมีอีกชื่อว่า แมนท็อก (Mantoux หรือ PPD) ซึ่งย่อมาจากสารอนุพันธ์โปรตีนบริสุทธิ์ (purified protein derivative) ซึ่งการตรวจนี้ทำโดยฉีดสารอนุพันธ์โปรตีนจากเชื้อวัณโรคเข้าใต้ชั้นของผิวหนังที่ปลายแขน ถ้าจุดที่ฉีดเริ่มแดง นูน และเป็นตุ่มหลังจากผ่านมาไม่กี่วันจะบ่งบอกว่าติดเชื้อวัณโรค
เช่นเดียวกับการตรวจทุเบอร์คูลิน การตรวจอิกร่าในเลือดจะวัดระดับการตอบสนองของภูมิคุ้มกันต่อแอนติเจนของเชื้อไมโคแบคทีเรียมทูเบอร์คูโลซิส (Mycobacterium tuberculosis) ซึ่งก็คือเชื้อวัณโรค และการตรวจนี้ต้องเก็บตัวอย่างเลือดไปตรวจในห้องปฏิบัติการ
การตรวจวินิจฉัย
ถ้าสงสัยว่าวัณโรคอยู่ในระยะแพร่เชื้อ การตรวจทูเบอร์คูลิน การตรวจอิกร่า และการเอ็กซเรย์ปอดจะช่วยในการวินิจฉัยได้ อย่างไรก็ตามทั้งการตรวจทูเบอร์คูลินและการตรวจอิกร่าในเลือดไม่สามารถแยกแยะวัณโรคแฝงและวัณโรคระยะแพร่เชื้อได้ นอกจากนี้การตรวจทูเบอร์คูลินอาจให้ผลบวกลวงได้ในผู้ที่เคยฉีดวัคซีนวัณโรค (bacille Calmette-Guerin หรือ BCG) มาก่อนหรือติดเชื้อแบคทีเรียชนิดอื่นซึ่งลักษณะคล้ายวัณโรค
ส่วนเอ็กซเรย์ปอดก็มีข้อจำกัดเนื่องจากผลของวัณโรคต่อปอดคล้ายคลึงกับโรคหลายๆ โรค และเพื่อการวินิจฉัยที่จำเพาะมากขึ้นอาจมีการตรวจที่จำเป็น เช่น
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
- เก็บตัวอย่างเสมหะและตรวจหาเชื้อวัณโรคไมโคแบคทีเรียมทูเบอร์คูโลซิส (Mycobacterium tuberculosis) โดยตรง
- ตรวจโมเลกุลของสารพันธุกรรมแบคทีเรีย
- เก็บตัวอย่างเสมหะ ของเหลวจากส่วนอื่นของร่างกาย หรือเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อปอด ต่อมน้ำเหลือง หรือเนื้อเยื่อส่วนอื่นที่อาจเพาะเชื้อวัณโรคขึ้นเพื่อง่ายต่อการตรวจใต้กล้องจุลทรรศน์
อย่างไรก็ตามการเพาะเชื้อวัณโรคต้องใช้เวลา 4-7 สัปดาห์ จึงจะขึ้นจึงทำให้การวินิจฉัยวัณโรคช้าลงและมีการตรวจทางห้องปฏิบัติการหลายอย่างที่อาจต้องทำเพื่อหายาที่ใช้รักษาวัณโรคดีที่สุดในผู้ป่วยแต่ละคน
การถ่ายภาพรังสี
การถ่ายภาพรังสีอาจใช้เพื่อช่วยวินิจฉัยวัณโรคระยะแพร่กระจาย
- เอ็กซเรย์ใช้เพื่อหาวัณโรคปอดเช่นเดียวกับวัณโรคกระดูกหรือวัณโรคสันหลัง
- เอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์หรือซีทีใช้เพื่อหาวัณโรคกระดูกสันหลังหรือรายละเอียดในปอดซึ่งเอ็กซเรย์เห็นไม่ชัด
- เอ็มอาร์ไอไขสันหลังหรือสมองเมื่อสงสัยว่ามีการติดเชื้อวัณโรคที่ไขสันหลังหรือสมอง
- โบนสแกน (Bone scans) เพื่อแยกระหว่างมะเร็งกับวัณโรค ซึ่งทำให้เกิดรอยโรคที่กระดูกสันหลังเหมือนกัน
การตรวจเอชไอวี (HIV)
เนื่องจากวัณโรคนั้นมีอาการใกล้เคียงกับเอชไอวีจึงเป็นเรื่องปกติที่ต้องตรวจเอชไอวีในผู้ที่สงสัยวัณโรคแต่ไม่ทราบว่าติดเอชไอวีหรือไม่ ซึ่งการตรวจเอชไอวีจะช่วยให้เริ่มยาเอชไอวีได้เหมาะสมอย่างเหมาะสมร่วมกับการรักษาวัณโรค
การเริ่มต้นการรักษา
การยืนยันการวินิจฉัยวัณโรคระยะแพร่กระจายสามารถใช้เวลาได้ระยะหนึ่ง ในกรณีที่สงสัยอย่างมากว่าเป็นวัณโรค แพทย์อาจเริ่มยาต้านวัณโรคก่อนการวินิจฉัยจะยืนยันด้วยการแยกเชื้อวัณโรคในห้องปฏิบัติการ