การเรียนรู้ข้อเท็จจริงหรือสิ่งใหม่ๆ เกี่ยวกับโรคที่คุณกำลังเป็น หรือรู้จักคนที่กำลังเป็นอยู่เป็นเรื่องที่น่าสนุกเสมอ และการที่มีความตื่นตัวต่อโรคเบาหวานที่เพิ่มขึ้นจะทำให้คุณมีความสามารถในการควบคุมโรคได้มากขึ้น คุณคือคนที่ควรควบคุมโรค และการมีความรู้เป็นสิ่งหนึ่งที่จะทำให้คุณมีอาวุธต่อสู้กับโรคนี้
20 ข้อเท็จจริงที่ควรรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวาน
1. การตรวจเลือดแบบแรกที่เรียกว่า Clinitest ถูกคิดค้นขึ้นในปี 1941 โดย Ames Diagnostics ทำโดยการปั่นปัสสาวะและน้ำในหลอดทดลอง และใส่เม็ดทดสอบสีฟ้าขนาดเล็กซึ่งจะทำปฏิกิริยาเคมี ที่สามารถรุนแรงถึงขั้นทำให้เกิดแผลไหม้ตามร่างกายจากความร้อนระดับสูงของปฏิกิริยาได้ โดยสีของของเหลวที่เปลี่ยนไปจะเป็นตัวแสดงว่ามีกลูโคสอยู่ในปัสสาวะหรือไม่
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
2. ในปี 1969 เครื่องตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดแบบเคลื่อนที่เครื่องแรกถูกผลิตขึ้นโดย Ames Diagnostics เรียกว่า Ames Reflectance Meter (ARM) โดยต่อมาบริษัทนี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท Bayer เครื่องมือนี้หน้าตาคล้ายกับเรื่อง tricoder ในหนัง Star Trek ฉบับดั้งเดิม มีราคาประมาณ $650 และใช้สำหรับแพทย์ในโรงพยาบาลเท่านั้น เครื่องตรวจวัดระดับน้ำตาลสำหรับผู้ป่วยใช้ที่บ้านภายในสหรัฐอเมริกาเพิ่งออกวางจำหน่ายในช่วงหลังจากยุค 1980
3. Dr. Richard Bernstein ผู้เขียนหนังสือ Dr. Bernstein’s Diabetes Solution (ทางออกของโรคเบาหวานของ Dr. Bernstein) เป็นคนแรกที่ใช้เครื่องตรวจวัดระดับน้ำตาลแบบเคลื่อนที่ในการตรวจระดับน้ำตาลของตนเองที่บ้าน โดย Dr. Bernstein เป็นวิศวกรซึ่งป่วยเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 1 เขาต้องการจะใช้เครื่อง ARM ที่อนุญาตให้ใช้ในแพทย์เท่านั้น เขาจึงขอให้ภรรยาของเขาซึ่งเป็นจิตแพทย์หาเครื่องมือนี้มาให้เขา ภายหลังจากการได้ตรวจวัดระดับน้ำตาลด้วยเครื่องนี้แล้ว การรักษาโรคเบาหวานของเขาก็ดีขึ้นอย่างมาก เขาจึงเริ่มออกรณรงค์เรื่องการใช้เครื่องตรวจวัดระดับน้ำตาลที่บ้านสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน แต่เนื่องจากเขาไม่สามารถตีพิมพ์งานวิจัยของเขาลงในวารสารทางการแพทย์ได้ เขาซึ่งอายุ 43 ปีในขณะนั้นจึงตัดสินใจเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนแพทย์ และกลายเป็นแพทย์เฉพาะทางด้านต่อมไร้ท่อ
4. อินเดียเป็นประเทศที่มีประชากรที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 มากที่สุดในโลก
5. ประเทศที่มีสัดส่วนของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 มากที่สุดคือประเทศ Nauru บนเกาะในทะเลแปซิฟิกตอนใต้ ซึ่งเป็นประเทศที่มีขนาดเล็กเป็นลำดับที่ 3 ของโลกรองจากนครรัฐวาติกัน และโมนาโก
6. บันทึกลายลักษณ์อักษรที่เก่าที่สุดที่ระบุถึงโรคเบาหวานคือบันทึก Ebers บนกระดาษปาปิรุสของชาวอียิปต์ในช่วง 1500 ปีก่อนคริสตกาล โดยระบุถึงอาการปัสสาวะบ่อย
7. อาการของโรคเบาหวานเช่นหิวน้ำ น้ำหนักลด และปัสสาวะบ่อย ถูกสังเกตตั้งแต่ 1200 ปีก่อนที่โรคนี้จะมีชื่อเรียก
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
8. แพทย์ชาวกรีกชื่อ Aretaeus เป็นผู้ที่เริ่มใช้คำว่า Diabetes ในช่วงศตวรรตที่ 1 หลังคริสตกาล และเชื่อว่าการถูกงูกัดเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคเบาหวาน
9. Dr. Thomas Willis (1621-1675( เรียกโรคเบาหวานว่าเป็นปีศาจที่น่าโมโห และบรรยายปัสสาวะของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ว่า หวานมากเหมือนเต็มไปด้วยน้ำผึ้ง หรือน้ำตาล นอกจากนั้นเขายังเป็นคนแรกที่บรรยายถึงอาการปวดแปล๊บจากการที่เส้นประสาทถูกทำลายจากโรคเบาหวาน
10. คำว่า Diabetes เป็นคำศัพท์ในภาษากรีกที่หมายถึง “การผ่านออก” เนื่องจากพบว่าปัสสาวะในผู้ป่วยโรคเบาหวานถูกขับออกอย่างรวดเร็ว และคำว่า mellitus เป็นคำภาษาละตินซึ่งหมายถึงหวานเหมือนน้ำผึ้ง
11. ในอดีต แพทย์จะทำการตรวจโรคเบาหวานโดนการชิมปัสสาวะว่ามีรสหวานหรือไม่ คนที่ทำหน้าที่ชิมปัสสาวะจะเรียกว่า ผู้ชิมน้ำ (Water taster) วิธีการตรวจสอบวิธีอื่นเช่นการดูว่ามีมดหรือแมลงวันมาตอมรอบปัสสาวะหรือไม่
12. ในช่วงปลายยุค 1850 แพทย์ชาวฝรั่งเศสชื่อ Priorry ได้แนะนำผู้ป่วยโรคเบาหวานให้รับประทานน้ำตาลในปริมาณมาก ซึ่งแน่นอนว่าแนวทางการรักษาด้วยวิธีนี้เกิดขึ้นแค่ระยะสั้นๆ
13. Dr. Elliott P. Joslin ผู้ก่อตั้งศูนย์โรคเบาหวาน Joslin (Joslin Diabetes Center) เป็นแพทย์ที่เชี่ยวชาญเรื่องเบาหวานเป็นคนแรก และแนะนำเรื่องการจัดการตนเอง เขาเริ่มสนใจในโรคนี้เมื่อมีป้าเป็นโรคเบาหวาน และได้รับการแจ้งว่าไม่มีทางรักษาได้ และมีหวังน้อยมาก ซึ่งต่อมาป้าคนนี้ก็เสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน ในเวลาต่อมาไม่นาน แม่ของเขาได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวานในปี 1898 (หลังจากที่ป้าเสียชีวิตไปไม่นาน) ซึ่งเป็นปีที่เขาเริ่มเป็นแพท์ เขาได้ช่วยแม่ของเขาดูแลโรคเบาหวาน และแม่ของเขาสามารถมีชีวิตอยู่ได้นานหลังจากนั้น 10 ปีซึ่งถือว่าค่อนข้างนานมากในสมัยนั้น
ตรวจเบาหวานวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 78 บาท ลดสูงสุด 83%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
14. Dr. Elliot P.Joslin ได้กล่าวว่า โรคเบาหวานเป็น “โรคเรื้อรังที่ดีที่สุด” เนื่องจากเป็นโรคที่สะอาด ไม่น่าเกลียด ไม่ติดต่อ มักไม่ปวด และตอบสนองต่อการรักษา
15. Dr. Priscilla White ได้เริ่มต้นการรักษาโรคเบาหวานระหว่างการตั้งครรภ์ โดยเธอได้เข้าร่วมกับ Dr. Elliott P. Joslin ในปี 1924 ซึ่งมีอัตราการคลอดสำเร็จเพียง 54% ในขณะที่เมื่อเธอเกษียนในปี 1974 มีอัตราการคลอดสำเร็จสูงถึง 90%
16. ก่อนปี 1921 ทางเลือกในการรักษาโรคเบาหวานชนิดที่ 2 คือการอดอาหาร หรืออดอาหารกึ่งหนึ่ง
17. ในปี 1916 Dr. Frederick M. Allen ได้พัฒนาการรูปแบบการรักษาในโรงพยาบาลขึ้นโดยทำการจำกัดอาหารของผู้ป่วยโรคเบาหวาน เหลือเพียงแค่วิสกี้ผสมกับกาแฟดำ (หรือซุปใสในคนที่ไม่ดื่มแอลกอฮอล์) ผู้ป่วยจะได้รับอาหารผสมนี้ทุก 2 ชั่วโมงจนกว่าระดับน้ำตาลในเลือดจะหายไปจากปัสสาวะ (มักเกิดขึ้นใน 5 วัน) หลังจากนั้นผู้ป่วยจะได้รับประทานอาหารที่มีระดับคาร์โบไฮเดรตต่ำมากต่อ รูปแบบการรักษานี้เป็นวิธีการรักษาที่ได้ผลดีที่สุดในช่วงนั้น และโครงการของ Dr. Allen นี้จุดประกายความสนใจของ Dr. Elliot P. Joslin ซึ่งได้นำมาใช้เป็นพื้นฐานของการศึกษา และการรักษาด้วยการควบคุมปริมาณแคลอรี
18. ในปี 1022 มีการค้นพบว่าตับอ่อนมีบทบาทในโรคเบาหวาน โดยนักวิจัยได้ทำการศึกษาการย่อยอาหารในสุนับที่ถูกตัดตับอ่อนออกในห้องปฏิบัติการ และพบว่ามีมดมาตอมปัสสาวะของสุนัขเหล่านี้จำนวนมาก ซึ่งจากการตรวจปัสสาวะพบว่ามีน้ำตาลในระดับที่สูงมาก
19. โรคเบาหวานชนิดที่ 1 และ 2 ถูกแยกประเภทอย่างเป็นทางการในปี 1936 อย่างไรก็ตามความแตกต่างระหว่าง 2 ชนิดนี้นั้นมีการพบตั้งแต่ยุคปี 1700 ที่แพทย์พบว่ามีผู้ป่วยบางคนที่เป็นโรคเรื้อรังกว่าคนที่เสียชีวิตภายหลังจากการเริ่มมีอาการโรคเบาหวานน้อยกว่า 5 สัปดาห์
20. ยา sulfonylurea ซึ่งเป็นยารักษาโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในรูปแบบกินชนิดแรกได้ถูกค้นพบในปี 1942