ทางจิตวิทยายังคงมีข้อโต้แย้งกันอยู่พอสมควรในเรื่องความทรงจำที่ถูกกดไว้สามารถกลับคืนมาได้หรือไม่ เช่นเดียวกับเรื่องความทรงจำดังกล่าวจะถูกต้องแม่นยำแค่ไหน การแบ่งแยกที่ชัดเจนที่สุดดูจะเป็นผู้ที่ทำงานทางด้านสุขภาพจิตและนักวิจัย ในการศึกษาหนึ่ง แพทย์มีแนวโน้มที่จะเชื่อมากกว่าว่าคนเก็บกดความทรงจำไว้ซึ่งสามารถรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ได้ด้วยการรักษา ประชาชนทั่วไปก็มีความเชื่อเรื่องความจำที่ถูกเก็บกดไว้เช่นกัน แน่นอนว่ายังต้องการงานวิจัยอีกจำนวนมากสำหรับเรื่องความทรงจำ
การบาดเจ็บสามารถถูกลืมเลือนได้
คนส่วนใหญ่จดจำสิ่งแย่ ๆ ที่เกิดขึ้นกับพวกเขา แต่บางครั้งการบาดเจ็บที่รุนแรงมากจะถูกลืมเลือน นักวิทยาศาสตร์ศึกษาสิ่งนี้ และพวกเรากำลังเริ่มเข้าใจว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร เมื่อการลืมเลือนเป็นไปจนถึงขีดสุด บางครั้งอาจเกิดโรคทางจิตวิทยาในกลุ่ม dissociative disorder เช่น dissociative amnesia, dissociative fugue, depersonalization disorder and dissociative identity disorder (โรคบุคลิกภาพแตกแยก) โรคเหล่านี้และความสัมพันธ์กับการบาดเจ็บยังอยู่ระหว่างการศึกษา
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
ความทรงจำทำงานได้อย่างไร
ความทรงจำไม่เหมือนกับเทปบันทึกเสียง สมองจะประมวลข้อมูลและเก็บไว้ด้วยวิธีที่หลากหลาย พวกเราส่วนใหญ่เคยมีประสบการณ์การบาดเจ็บเล็กน้อย และประสบการณ์ดังกล่าวบางครั้งก็ดูเหมือนจะประทับแน่นอยู่ในสมองพร้อมรายละเอียดคมชัด นักวิทยาศาสตร์กำลังศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสมองสองส่วนคือ amygdala และ hippocampus เพื่อทำความเข้าใจว่าทำไม
ข้อความดังต่อไปนี้บรรยายสิ่งที่เรารู้ในขณะนี้
- การบาดเจ็บระดับปานกลางสามารถเพิ่มความทรงจำระยะยาวได้ นี่เป็นประสบการณ์จากสามัญสำนึกที่พวกเราเกือบทุกคนมี และทำให้เข้าใจได้ยากขึ้นว่าทำไมความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เลวร้ายจึงถูกลืมเลือนไป
- การบาดเจ็บร้ายแรงสามารถรบกวนแหล่งเก็บความทรงจำระยะยาวและคงเหลือความทรงจำไว้ในรูปแบบอารมณ์และความรู้สึกมากกว่าที่จะเป็นความทรงจำ งานวิจัยเมื่อเร็ว ๆ นี้ชี้แนะว่าอาจใช้เวลาหลายวันเพื่อเก็บเหตุการณ์ที่ว่าไว้ในความทรงจำระยะยาว
- สิ่งกระตุ้นทางความรู้สึกในปัจจุบันสามารถทำให้ข้อมูลที่ถูกลืมเลือนกลับมาอีกครั้ง นี่เป็นเพราะว่าข้อมูลดังกล่าวสัมพันธ์กับสิ่งกระตุ้นผ่านทางกระบวนการที่รู้จักกันในชื่อ “state-dependent memory, learning and behavior”
- “ความทรงจำปลอม” ของเหตุการณ์บาดเจ็บระดับอ่อน ๆ สามารถสร้างขึ้นได้ในห้องปฏิบัติการ ยังไม่แน่ชัดว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นในสถานการณ์อื่นได้มากแค่ไหน
- การศึกษาบันทึกไว้ว่าในบางครั้งผู้ที่ผ่านการบาดเจ็บร้ายแรงก็ลืมการบาดเจ็บนั้น ความทรงจำของการบาดเจ็บอาจกลับมาในภายหลัง โดยมักเริ่มเป็นความรู้สึกหรืออารมณ์ที่บางครั้งเกี่ยวข้องกับ “เหตุการณ์ในอดีต” ซึ่งพวกเขารู้สึกเหมือนกำลังใช้ชีวิตในความทรงจำนั้นอีกครั้ง ข้อเท็จจริงดังกล่าวจะค่อย ๆ ซึมซาบมากขึ้นเรื่อย ๆ จนคล้ายกับความทรงจำอื่น ๆ
ข้ออภิปรายเรื่องความทรงจำที่กลับคืนมา
ความทรงจำกลับมาได้จริงหรือ ? ยังมีข้อโต้เถียงมากมายในเรื่องนี้ นักบำบัดบางคนที่ทำงานกับผู้ที่รอดจากการบาดเจ็บเชื่อว่าความทรงจำนั้นเป็นของจริง เนื่องจากประกอบกับอารมณ์ที่สุดขั้ว นักบำบัดคนอื่น ๆ รายงานว่าผู้ป่วยของพวกเขาบางคนมีความทรงจำที่กลับคืนมาที่ไม่น่าจะเป็นจริง (ตัวอย่างเช่น ความทรงจำว่ากำลังถูกตัวหัว)
บางกลุ่มอ้างว่านักบำบัดกำลัง “ปลูกถ่ายความทรงจำ” หรือทำให้เกิดความทรงจำปลอมในผู้ป่วยที่เปราะบางโดยกล่าวว่าพวกเขาเป็นเหยื่อของการทำร้าย เมื่อไม่มีการทำร้ายเกิดขึ้นจริง นักบำบัดบางคนชักจูงผู้ป่วยว่าอาการของพวกเขาเกิดจากการถูกทำร้ายซึ่งพวกเขาไม่รู้ว่าเป็นจริงหรือเปล่า สิ่งนี้ไม่ถือเป็นการรักษาที่ดี และนักบำบัดส่วนใหญ่ก็ระมัดระวังที่จะไม่ชี้แนะสาเหตุของอาการจนกว่าผู้ป่วยจะพูดออกมาเอง
ยังมีงานวิจัยบางชิ้นที่อภิปรายว่าความทรงจำปลอมจากการบาดเจ็บอย่างอ่อน ๆ สามารถสร้างขึ้นในห้องปฏิบัติการ ในการศึกษาหนึ่งมีการกล่าวกับเด็ก ๆ ว่าพวกเขาเคยหลงทางในห้างสรรพสินค้า ซึ่งต่อมาเด็กหลายคนก็เชื่อว่านี่เป็นความทรงจำจริง ๆ ข้อสังเกต: การชี้แนะความทรงจำเกี่ยวกับการบาดเจ็บร้ายแรงในห้องปฏิบัติการนั้นผิดจริยธรรม
การค้นหาทางสายกลางของความทรงจำที่กลับคืนมา
ฉันทำงานกับผู้ป่วยบางคนที่มี “ความทรงจำที่กลับคืนมา” ของการถูกกระทำรุนแรงในวัยเด็ก มุมมองของฉันต่อความเป็นจริงของความทรงจำดังกล่าวคือ ฉันไม่รู้ว่าความทรงจำดังกล่าวเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ในกรณีส่วนใหญ่แล้ว ฉันเชื่อว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับพวกเขา เนื่องจากอาการของพวกเขาเข้าได้กับความทรงจำ ส่วนใหญ่แล้วพวกเขามีความทรงจำของการถูกกระทำรุนแรงซึ่งเป็นความทรงจำที่ต่อเนื่อง และความทรงจำเหล่านี้ก็กลับคืนมา เราทำงานกับเรื่องราวในอดีตก็ต่อเมื่อเรื่องดังกล่าวมีผลต่อปัจจุบันเท่านั้น ความทรงจำดังกล่าวเป็นเรื่องจริงสำหรับผู้ป่วย และนั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในการบำบัด ฉันไม่สนับสนุนให้พวกเขาเผชิญหน้ากับพ่อแม่หรือผู้กระทำรุนแรงคนอื่น ๆ เพราะอาจไม่ช่วยอะไรและทำให้รู้สึกเจ็บปวดมากขึ้น เป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับนักบำบัดที่จะไม่ถามคำถามชี้นำหรือชี้แนะว่าเหตุการณ์บางอย่างอาจเคยเกิดขึ้นจริง ๆ