การออกกำลังกายเป็นอีกกิจกรรมโปรดของใครหลายคน โดยไม่ใช่แค่เพียงในกลุ่มคนรักสุขภาพเท่านั้น แต่ยังเป็นกิจกรรมสำหรับคลายเครียด ช่วยให้ลดน้ำหนัก และสร้างมวลกล้ามเนื้อเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม มีหลายคนที่เข้าใจว่า การออกกำลังกายต้องออกให้เจ็บเท่านั้นจึงจะเห็นผล เรามาดูคำตอบกันว่า จริงหรือไม่ แล้วการออกกำลังกายที่ดีนั้นเป็นอย่างไร
คอร์สลดน้ำหนักออกกำลังกาย วันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 441 บาท ลดสูงสุด 59%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
การออกกำลังกายที่ดี ต้องออกแล้วรู้สึกเจ็บ ถูกหรือไม่?
คำตอบ คือ ผิด เพราะหากคุณออกกำลังกายแล้วเกิดอาการเจ็บบริเวณส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย นั่นคือสัญญาณบอกว่า คุณกำลังออกกำลังกายอย่างผิดวิธี และเป็นอันตรายอย่างมาก
เพราะท่าในการออกกำลังกายแต่ละแบบจะมีวิธีเคลื่อนไหว วิธีใช้ข้อต่อ และแรงส่งจากกล้ามเนื้อของอวัยวะส่วนต่างๆ ที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งแต่ละท่าควรได้รับการสอนอย่างถูกวิธีจากเทรนเนอร์ และผู้เชี่ยวชาญ
หลายคนมักเข้าใจผิดว่า พอออกกำลังกายแล้วรู้สึกเจ็บ แสดงถึงร่างกายที่กำลังเผาผลาญไขมัน และท่าที่ออกกำลังกายอยู่นั้นถูกต้องได้ผล แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ เพราะคุณกำลังใช้กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น หรือข้อต่อ รวมถึงวิธีเคลื่อนไหวร่างกายที่ผิดส่วนต่างหาก
ซึ่งหากยังดันทุรังออกกำลังต่อไปอีกอย่างผิดวิธี ก็จะทำให้ร่างกายได้รับบาดเจ็บ และอาจต้องเข้ารับการรักษาระยะยาว เมื่อคุณไม่สามารถทนกับความเจ็บปวดได้อีกต่อไป หรือร่างกายได้รับความเสียจากการออกกำลังแบบผิดวิธีอย่างมาก เช่น
- เส้นเอ็นฉีกขาด
- เอ็นร้อยหวายฉีก
- เส้นเอ็นฉีกขาด
- กล้ามเนื้อฉีกขาด
- เป็นพังผืดใต้กล้ามเนื้อ
- ข้อต่อพลิก แพลง หรือเคล็ด
- กระดูกข้ออักเสบ
- กระดูกสันหลังได้รับบาดเจ็บ
- กระดูกหัก
นอกจากนี้ผู้ที่มีโรคประจำตัว และออกกำลังกายอย่างผิดวิธี ยังมีความเสี่ยงที่โรคประจำตัวจะกำเริบได้ จนถึงแก่ชีวิต เช่น ผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และหลอดเลือด รวมถึงผู้ที่เคยประสบอุบัติเหตุจนกล้ามเนื้อ หรือกระดูกไม่สามารถใช้งานได้ดังเดิมด้วย
แยกให้ออกระหว่างอาการเจ็บ และอาการปวดเมื่อย
อาการเจ็บ เป็นสัญญาณของอาการออกกำลังกายที่ผิดท่า และผิดวิธี ส่วนอาการปวดเมื่อย เป็นอาการที่เกิดจากกล้ามเนื้อไม่ชินต่อการออกแรงยืดหยุ่น การเคลื่อนไหว และการออกแรงโดยใช้พลังงานมากๆ เพื่อออกกำลังกาย
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
อาการเมื่อย ปวดระบม หรืออ่อนล้าตามส่วนต่างๆ ของร่างกายเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้ในผู้ที่ออกกำลังกายทุกๆ คน และถือเป็นอาการปกติไม่ได้ร้ายแรงเป็นอันตรายอะไรทั้งนั้น
หากมีอาการเมื่อยเกิดขึ้นจากการออกกำลังกาย คุณก็เพียงหยุดพัก ทายาแก้ปวดเมื่อนกล้ามเนื้อ ผ่อนการออกกำลังกายให้เบาลงประมาณ 1-2 วัน กล้ามเนื้อก็จะค่อยๆ ปรับสภาพ และซ่อมแซมตนเอง จากนั้นก็สามารถกลับมาออกกำลังกายได้ตามปกติ
แต่สำหรับอาการเจ็บ เป็นอาการที่เส้นเอ็น กล้ามเนื้อ หรือข้อกระดูกเคลื่อนที่ผิดปกติ หรือผิดจังหวะ จะต้องหยุดการออกกำลังกายนั้นทันที และรีบเข้ารับการรักษา มิฉะนั้นอาการบาดเจ็บอาจส่งผลให้คุณไม่สามารถออกกำลังกายท่านั้นได้อีก และอาจทำให้ไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ดังเดิมด้วย
ดังนั้น การออกกำลังกายโดยปล่อยให้ตนเองรู้สึกเจ็บ ไม่ใช่วิธีออกกำลังกายที่ถูกต้องใดๆ และยังส่งผลกระทบที่เป็นอันตรายต่อร่างกายด้วย
ออกกำลังกายจนเหนื่อยมากๆ ดีหรือไม่?
หากคุณมีอาการเหนื่อยระหว่างออกกำลังกาย นั่นเป็นสัญญาณบอกว่า หัวใจของคุณกำลังสูบฉีดเลือดเร็ว และแรงขึ้น เพื่อให้เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ที่ออกแรงให้เพียงพอ นอกจากนี้ยังหมายถึงปอดกำลังสูบฉีดอากาศออกซิเจนให้คุณสามารถหายใจได้เร็ว และยาวในระหว่างที่มีอาการเหนื่อยด้วย
อย่างไรก็ตาม หากคุณรู้สึกเหนื่อยมาก ก็ควรหยุดพักร่างกายสักครู่ และจิบน้ำให้คลายกระหาย เพื่อผ่อนการทำงานของหัวใจ และปอดลง อย่าฝืนออกกำลังกายระหว่างที่เหนื่อยมากๆ จนเกินไป เพราะเสี่ยงทำให้คุณเป็นลม หรือหัวใจทำงานหนักเกินไปได้
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
นอกจากนี้ การออกกำลังกายก็ไม่จำเป็นต้องเหนื่อยมาก หรือมีเหงื่อออก มีอาการหอบ และต้องออกแรงเยอะ และถี่ หรือยกน้ำหนักในปริมาณมากเสมอไป
แต่การออกกำลังกายเบาๆ เพื่อให้จังหวะการเต้นของหัวใจเร็วขึ้นโดยไม่เหนื่อยมาก แต่มีการเคลื่อนไหวร่างกายสม่ำเสมอเป็นระยะเวลาประมาณ 45 นาที - 1 ชั่วโมง ก็ถือเป็นการเอาสารอาหาร รวมถึงไขมันในร่างกายออกมาใช้ และเป็นการออกกำลังกายที่ดีที่ทำให้หัวใจแข็งแรงได้เช่นกัน เช่น
- การว่ายน้ำ
- การเดินเร็ว
- การวิ่งจ็อกกิ้ง
- การกระโดดเชือก
ส่วนผู้ที่ต้องการออกกำลังกายเพื่อสร้างมวลกล้ามเนื้อให้มากขึ้น ก็อาจออกกำลังเบาๆ สลับกับฝึกกล้ามเนื้อเพื่อรับแรงน้ำหนัก และแรงต้านทาน หรือที่เรียกทั่วไปว่า “เวทเทรนนิ่ง” เพื่อให้มีมวลกล้ามเนื้อในร่างกายเพิ่มขึ้น แต่ก็ต้องควบคุมไปกับการรับประทานอาหารอย่างเหมาะสมด้วย
บางครั้งคุณอาจต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการออกกำลังกาย ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ หรือปรึกษาเทรนเนอร์เกี่ยวกับการออกกำลังกายที่ตนเองต้องการ และเหมาะสมกับสุขภาพ
เพราะการออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก เพื่อคงมวลกล้ามเนื้อเดิมเอาไว้ เพื่อสร้างมวลกล้ามเนื้อเพิ่ม แต่ละแบบมีวิธีออกกำลังกายไม่เหมือนกัน รวมถึงวิธีการรับประทานอาหารด้วย
คำแนะนำเกี่ยวกับการออกกำลังกายสำหรับมือใหม่
ผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นออกกำลังกาย ยังไม่รู้ว่า ตนเองควรเริ่มต้นออกกำลังกายอย่างไร อาจลองนำคำแนะนำต่อไปนี้ในการเริ่มต้นออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ
- ไปตรวจสุขภาพก่อนออกกำลังกาย เพื่อให้แน่ใจว่า คุณไม่มีโรคแทรกซ้อน หรือโรคประจำตัวที่เสี่ยงส่งผลกระทบต่อการออกกำลังกาย หรือเกิดอาการบาดเจ็บระหว่างออกกำลังกายได้ เช่น ตรวจกระดูก ตรวจหัวใจ ตรวจปอด
- พยายามหาวิธีออกกำลังกายแบบที่คุณชอบ เช่น การเต้นแอโรบิก การปั่นจักรยาน การว่ายน้ำ การชกมวย เพราะกิจกรรมที่คุณชอบจะทำให้คุณอยากออกกำลังกายได้แบบระยะยาว
- เริ่มต้นการออกกำลังกายจากเบาไปหนัก อย่าเริ่มต้นการออกกำลังกายโดยใช้เรี่ยวแรงเยอะๆ จนหอบเหนื่อยมาก หรือการยกน้ำหนักโดยใช้ดัมเบลที่หนักเกินไป จะเสี่ยงทำให้คุณได้รับบาดเจ็บ และร่างกายไม่สามารถปรับสภาพต่อการออกกำลังได้ทัน
- รู้จักวิธีสังเกตอาการเหนื่อย หากคุณออกกำลังกายมากจนไม่สามารถพูดเป็นประโยคได้ตามปกติ เหนื่อยหอบหนักจนต้องหายใจเข้าออกถี่มาก ไม่สามารถทรงตัว หรือเดินได้ตามปกติ ให้หยุดพักก่อน เพราะนั่นเป็นสัญญาณว่า ร่างกายของคุณกำลังอ่อนแรง
- รับประทานอาหารให้เพียงพอ อย่าอดอาหารก่อนออกกำลังกายเด็ดขาด เพราะคุณจะไม่มีแรงออกกำลัง และเสี่ยงเป็นลม หากต้องการออกกำลังก่อนกินอาหารเช้า ให้ออกกำลังแบบเบาๆ อย่างการเดินเร็ว หรือจ็อกกิ้ง
ส่วนอาหารที่รับประทานก่อนออกกำลังกายควรเป็นอาหารที่ร่างกายสามารถนำพลังงานมาใช้ในการออกกำลังได้ เช่น คาร์โบไฮเดรต แต่ก็ไม่ต้องรับประทานมากเกินไป และควรรับประทานก่อนออกกำลังประมาณ 1-2 ชั่วโมง
นอกจากนี้หลังออกกำลังกาย คุณไม่จำเป็นต้องอดอาหารเพราะกลัวว่า จะทำให้ไขมันที่เผาผลาญออกไปกลับเข้ามาสู่ร่างกายดังเดิม แต่คุณต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ร่างกายคนเราต้องใช้สารอาหารในการดำเนินชีวิต ไม่ว่าจะออกกำลังไปเยอะแค่ไหนก็ตาม
เมื่อคุณออกกำลังกายเสร็จ ก็ให้กลับไปรับประทานอาหารให้ครบ 3 มื้อตามปกติ และเพียงงดรับประทานของจุกจิก ขนมหวาน อาหารมีไขมันสูง เพียงเท่านี้ก็ช่วยให้คุณร่างกายแข็งแรง น้ำหนักไม่เพิ่มขึ้นได้แล้ว - ปรึกษาเทรนเนอร์ หรือผู้เชี่ยวชาญในช่วงเริ่มต้น เชื่อว่า หลายคนคงมีความคิดเรื่องไม่อยากจ้างเทรนเนอร์เพราะราคาแพง และอยากออกกำลังกายอย่างอิสระ ไม่มีใครควบคุม แต่มันอาจดีกว่า หากคุณมีผู้สอนวิธีออกกำลังกายอย่างเหมาะสมในช่วงเริ่มต้น
นอกจากนี้เทรนเนอร์ หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการออกกำลังกายยังจะช่วยสอน และให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการใช้เครื่องมือออกกำลังกายอย่างถูกต้อง และปลอดภัยให้คุณด้วย - มีเป้าหมายเป็นของตนเอง การออกกำลังกายที่เห็นผลที่สุด คือ การตั้งเป้าหมายไว้ และมีวินัยอย่างสม่ำเสมอในการออกกำลังด้วย คุณอาจตั้งเป้าหมายว่า ฉันจะลดน้ำหนักให้ได้ 5 กิโลกรัมในอีก 3 เดือน จากนั้นคุณจะได้วางแผนว่า จะทำอย่างไรให้เป้าหมายนี้สำเร็จได้
การออกกำลังกายที่ดี คือ การออกกำลังกายที่มีการวางแผนสอดคล้องกับสภาพร่างกาย และสุขภาพ รวมถึงผู้ออกกำลังกายต้องมีความสุข และมีเป้าหมายในการออกกำลังกาย
อาการบาดเจ็บไม่ใช่ตัวชี้วัดการออกกำลังกายที่ดี และหากคุณรู้สึกเจ็บจากการออกกำลังกายไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย ให้หยุดออกกำลังทันที แล้วไปพบแพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการออกกำลังกายที่อยู่ใกล้ที่สุด เพื่อขอคำปรึกษาให้การรักษาอาการต่อไป
เปรียบเทียบราคาและแพ็กเกจออกกำลังกาย ลดน้ำหนัก จากคลินิกและโรงพยาบาลใกล้คุณ และไม่พลาดทุกอัปเดตเรื่องสุขภาพและโปรโมชั่นเมื่อกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android