สำหรับหลายคนที่เพิ่งเกิดอุบัติเหตุครั้งแรกจนถึงขั้นต้องใส่เฝือกที่อวัยวะต่างๆ อาจจะยังไม่คุ้นเคยและไม่เข้าใจว่าทำไมต้องใส่เฝือก รวมถึงจะดูแลอาการบาดเจ็บระหว่างที่ใส่เฝือกอย่างไรดี ซึ่งเราจะมาหาคำตอบกันได้จากบทความนี้
ทำไมกระดูกหักต้องใส่เฝือก?
การใส่เฝือกคือวิธีการรักษากระดูกหักที่สำคัญ เฝือกจะคงตำแหน่งกระดูกหักให้อยู่กับที่ กระดูกที่สร้างใหม่จะได้ติดเร็วขึ้นและติดในตำแหน่งที่ถูกต้อง นอกจากนั้นเฝือกยังช่วยป้องกันไม่ให้กระดูกเคลื่อนหรือหักซ้ำ ป้องกันการกระแทกและการเคลื่อนที่ของกระดูกหัก จึงช่วยลดอาการปวด และเมื่อกระดูกอยู่กับที่ เนื้อเยื่อต่างๆ ลดการเสียดสี จึงลดโอกาสบวมด้วย
ตรวจกระดูกวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 534 บาท ลดสูงสุด 61%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
เฝือกมีกี่ประเภท?
เฝือกที่นิยมใช้กันในปัจจุบันจะมีด้วยกัน 2 ประเภท ดังนี้
- เฝือกปูนมาตรฐาน (cast) เฝือกปูนคือ เฝือกที่หุ้มโดยรอบเนื้อเยื่อหรือกระดูกที่หัก จึงยึดกระดูกหักคงที่ได้ดี
- เฝือกดาม (splint) ในขณะที่เฝือกดามคือ เฝือกด้านเดียว (ประมาณครึ่งหนึ่งของเฝือกปูน) และพันรอบด้วยผ้า ดังนั้นจึงคงกระดูกให้อยู่กับที่ได้น้อยกว่าเฝือกปูนและถอดออกได้ง่ายกว่า ทั้งนี้ข้อบ่งชี้จะเลือกว่าใช้เฝือกปูนหรือเฝือกดามขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทย์
เฝือกทำมาจากอะไร?
เฝือกอาจทำจากปูนปลาสเตอร์หรือไฟเบอร์กลาส ถ้าเป็นปูนปลาสเตอร์จะมีราคาถูกกว่า หนักกว่า ระบายอากาศได้น้อยกว่า และเปียกน้ำได้ง่ายกว่า
ส่วนไฟเบอร์กลาสจะมีราคาแพงกว่า แต่น้ำหนักเบากว่า คงทนกว่า และดูดซึมน้ำได้น้อยกว่า อย่างไรก็ตาม ด้านในสัมผัสกับผิวหนังของเฝือกทั้งแบบปูนปลาสเตอร์และไฟเบอร์กลาสจะเป็นผ้าฝ้ายเช่นเดียวกัน ซึ่งเมื่อเปียกน้ำจะก่อความรำคาญ ก่ออาการคัน และเกิดการติดเชื้อที่ผิวหนัง แผล (เมื่อกระดูกหักร่วมกับมีแผล)
ระยะเวลาในการใส่เฝือกทั้งสองชนิดขึ้นกับอาการบวมว่ามากหรือน้อยชนิดของกระดูกหัก การปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ พยาบาล และนักกายภาพบำบัด การกินอาหารที่เพิ่มการสร้างมวลกระดูก การเกิดกระดูกใหม่ ตรวจได้จากภาพเอกซเรย์ และดุลยพินิจของแพทย์
การดูแลตนเองขณะใส่เฝือก
ในระหว่างการใส่เฝือกจะถูกจำกัดการเคลื่อนไหวมาก เนื่องจากกระดูกและแผลยังไม่สมานกัน ฉะนั้นการดูแลตัวเองอย่างดีจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้อาการหายไวขึ้น รายละเอียดมีดังต่อไปนี้
- ดูแลเฝือกให้แห้งเสมอ เพราะหากน้ำซึมเข้าเฝือกจะส่งผลให้เกิดอาการดังที่กล่าวมาแล้ว จึงไม่ควรอาบน้ำในอ่างอาบน้ำหรือใช้ฝักบัว ควรใช้ขันตักราด โดยใช้แผ่นพลาสติกคลุมอาหารพับปิดเฝือกให้แน่น ป้องกันน้ำเข้าในช่วงอาบน้ำ แต่เมื่อภายในเฝือกเปียกน้ำ อาจลองเป่าด้วยเครื่องเป่าผมโดยใช้ความร้อนต่ำมากๆ หรือใช้เพียงลมเป่าให้แห้ง
- พยายามยกส่วนที่ใส่เฝือกให้สูง เพื่อเพิ่มการไหลเวียนโลหิต
- กระดิกนิ้วมือ นิ้วเท้าเสมอ เพื่อเพิ่มการเคลื่อนไหวและการไหลเวียนโลหิต ลดอาการบวมและอาการชาเนื่องจากเฝือกกด
- เมื่อรู้สึกปวด อาจวางถุงน้ำแข็งบนเฝือกส่วนที่ปวดได้นานครั้งละประมาณ 10-15 นาที (ระวังอย่าให้เฝือกเปียก ใช้วิธีการเดียวกับการอาบน้ำ)
- เมื่อรู้สึกคัน ไม่ควรแหย่สิ่งใดๆ เข้าไปในเฝือกเพื่อเกา เพราะอาจเป็นสาเหตุให้เฝือกฉีกขาด อาจเสียการพยุงกระดูกให้อยู่กับที่อาจเป็นสาเหตุให้ผิวหนังติดเชื้อได้จากแผลเกา ลองใช้การเป่าลมเย็นอาจช่วยได้ หรือกินยาแก้คัน (ปรึกษาแพทย์ พยาบาล หรือเภสัชกรก่อนซื้อยา)
- รักษาความสะอาด และระมัดระวังไม่ให้เศษผง ฝุ่น ทราย และอื่นๆ หล่นเข้าไปอยู่ในเฝือก
- อย่าใส่หรือสอดสิ่งของเข้าไปในเฝือก
- ระมัดระวังไม่ให้เฝือกแตกหรือฉีก อย่าฉีกเฝือกเองเมื่อรู้สึกว่าเฝือกแน่นเกินไป แต่ควรรีบพบแพทย์
- เมื่อขอบเฝือกฉีกขาด ไม่ควรตัดขอบเฝือกเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์
- การป้องกันกลิ่นจากเฝือกคือ รักษาเฝือกให้แห้งอยู่เสมอ แต่เมื่อเฝือกเริ่มมีกลิ่น อาจเช็ดทำความสะอาดด้วยผงฟู แต่ถ้ายังมีกลิ่นอยู่ ควรปรึกษาแพทย์ อาจต้องเปลี่ยนเฝือก
- เมื่อใส่เฝือกแขน การห้องแขนด้วยผ้าจะช่วยพยุงน้ำหนักเฝือกได้ดี
- เมื่อใส่เฝือกขา ไม่ควรเดินโดยใช้เฝือก เพราะเฝือกอาจฉีก แตกเสียหายได้ ควรสวมรองเท้าเสมอ (ขอคำแนะนำจากแพทย์ พยาบาล หรือนักกายภาพบำบัด เรื่องการใส่รองเท้าและชนิดของรองเท้า)
- ไม่ควรใช้แขนหรือขาด้านใส่เฝือกจนกว่าแพทย์จะอนุญาต (การต้องฝึกใช้เครื่องพยุงช่วยในการเดิน) และหลังจากนั้นควรใช้แขนหรือขาด้านใส่เฝือกตามที่แพทย์ พยาบาล หรือนักกายภาพบำบัดแนะนำอย่างเคร่งครัด
- ออกกำลังกายด้วยประเภทกีฬาตามที่แพทย์ พยาบาล หรือนักกายภาพบำบัดแนะนำ
- ตรวจสภาพเฝือกด้วยตนเองทุกวัน หากเฝือกฉีกขาด ชำรุด หรือ หลวม ควรรีบพบแพทย์ก่อนนัด
- ตรวจสุขภาพมือ เท้า นิ้ว ด้านใส่เฝือกทุกสัน รีบพบแพทย์เมื่อพบความผิดปกติ เช่น เขียวคล้ำ หรือชา
ระหว่างใส่เฝือกหากเกิดอาการเหล่านี้ควรพบแพทย์ด่วน
ควรรีบพบแพทย์โดยด่วนภายใน 24 ชั่วโมงหากมีอาการ ดังนี้
- รู้สึกเฝือกแน่นมากจนเจ็บหรือปวด
- นิ้วมือหรือนิ้วเท้าในส่วนในเฝือกกระดิกหรือขยับไม่ได้
- ปวดส่วนที่ใส่เฝือกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และไม่ดีขึ้นหลังกินยาบรรเทาปวดหรือวางน้ำแข็ง
- ส่วนที่ใส่เฝือก เหนือเฝือก ใต้เฝือก หรือมือ/เท้าส่วนที่ใส่เฝือกบวมมากขึ้นเรื่อยๆ
- ผิวในส่วนที่ใส่เฝือกเย็นผิดปกติหรือมีสีเขียวคล้ำ
- ชาหรือรู้สึกเจ็บแปลบในส่วนที่ใส่เฝือกตลอดเวลา
- เฝือกมีกลิ่นเหม็นเน่า หรือมีกลิ่นออกมาจากภายในเฝือก หรือมีเลือด หรือมีหนอง (เป็นอาการของการติดเชื้อบริเวณผิวหนัง)
- เมื่อของเฝือกแข็ง แหลมคม หรือบาดผัวหนัง
- เมื่อเฝือกหลวมหรือฉีกขาดจนพยุงกระดูกไม่อยู่
- เมื่อมีไข้