หัดเยอรมัน เป็นไข้ออกผื่นชนิดหนึ่ง เกิดจากเชื้อไวรัส อาการไม่รุนแรง แต่อาจมีผลข้างเคียงอันตรายหากเกิดการติดเชื้อในสตรีมีครรภ์ เพราะโอกาสที่ทารกจะพิการแต่กำเนิดสูงมาก
ปัจจุบันทางการแพทย์มีวิธีป้องกันโรคนี้ที่ทรงประสิทธิภาพ ทำให้ลดความพิการได้เกือบหมด
โรคหัดเยอรมันเกิดจากการติดเชื้อไวรัสรูเบลลา (Rubella) เป็นไวรัสพันธุกรรมสายเดี่ยวในกลุ่มไวรัสโทกาวิริดี (Togaviridae) ต้องเข้าไปแบ่งตัวและแพร่ขยายในเซลล์ของมนุษย์ ไวรัสชนิดนี้ติดต่อจากคนสู่คนเท่านั้น และก่อโรคในคน
ในช่วงแรกของการค้นพบ ผู้คนคิดว่าเป็นโรคเดียวกับโรคหัด (Measles) เพราะอาการคล้ายกัน เพียงแต่ความรุนแรงน้อยกว่า
แต่ต่อมาพบกลุ่มอาการพิการในทารกแรกเกิดที่ติดเชื้อนี้ แตกต่างจากโรคหัดที่จะไม่ค่อยพบความพิการแต่กำเนิด เป็นเหตุให้ค้นพบและแยกออกจากโรคหัด
หัดเยอรมันติดต่อได้ทางใดบ้าง?
หัดเยอรมันติดต่อได้ 2 ทางหลัก คือ ทางสารคัดหลั่งละอองฝอยจากจมูกและผ่านทางรก
เชื้อหัดเยอรมันจะเข้าสู่ร่างกายคนได้จากทางหลักคือ จากสารคัดหลั่ง น้ำมูก น้ำลาย เสมหะ ที่ออกมาเป็นละอองเล็กๆ กระจายในอากาศหรือปลิวไปเกาะติดตามพื้นผิวต่างๆ แล้วปนเปื้อนกับการสัมผัสที่มือเข้าสู่จมูกและปากต่อไป
เชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายจะมีการขยายพันธุ์และแบ่งตัวที่เยื่อบุหลังจมูกและคอเป็นหลัก จึงสามารถแพร่ออกทางนี้ได้มาก การสวมหน้ากากอนามัยให้ผู้ติดเชื้อและการล้างมือจึงเป็นมาตรการป้องกันโรคที่สำคัญมาก
ทางติดต่อที่สำคัญอีกอย่าง แม้จะพบน้อย แต่รุนแรงและสำคัญ คือติดต่อผ่านรก
เชื้อไวรัสหัดเยอรมันที่ติดจากเยื่อบุหลังคอจะแพร่ผ่านทางต่อมน้ำเหลืองและเข้ามาในกระแสเลือด ผ่านไปสู่รกและเข้าสู่ทารกได้ และหากเข้าสู่ทารกในช่วงที่กำลังสร้างอวัยวะ ประมาณไม่เกินสัปดาห์ที่ 11 ของการตั้งครรภ์ โอกาสที่เด็กจะติดเชื้อและพิการมีถึงประมาณ 90%
หากติดเชื้อในอายุครรภ์มากกว่านั้น โอกาสเกิดความพิการจะลดลง แต่ยังนับว่าสูงมากอยู่ดี
หลังจากร่างกายได้รับเชื้อโรคแล้วประมาณ 1-2 สัปดาห์ จะเริ่มแสดงอาการของโรค แต่หากได้รับวัคซีนอาจจะไม่เกิดอาการ และกำจัดเชื้อได้เร็วหรือแทบไม่มีอาการเลย
อาการของโรคหัดเยอรมัน
โรคหัดเยอรมันแยกออกเป็น 2 อาการหลัก ตามระยะเวลาที่ได้รับเชื้อ ดังนี้
1. กลุ่มอาการหัดเยอรมันแต่กำเนิด (Congenital rubella syndrome)
เด็กจะได้รับเชื้อผ่านทางรกจากแม่ที่ได้รับเชื้อ และติดเชื้อในช่วงไม่เกิน 10-12 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์
เชื้อไปขัดขวางการแบ่งตัวของเซลล์ และเกิดหลอดเลือดอักเสบตีบตันที่อวัยวะต่างๆ ทำให้ทารกเกิดต้อกระจก หูไม่ได้ยิน หลอดเลือดแดงในปอดตีบตัน ผนังหัวใจรั่ว
สิ่งสำคัญคือ เด็กที่ติดเชื้อแต่แรกเกิดจะสามารถแพร่เชื้อไวรัสหัดเยอรมันได้ถึงอายุ 1 ปี ทั้งทางสารคัดหลั่งฝอยจากจมูกและจากปัสสาวะ
ดังนั้นต้องแยกโรคและตรวจสอบจนกว่าจะมั่นใจว่าโรคไม่แพร่กระจาย ก่อนจะให้เด็กที่เป็นหัดเยอรมันคลุกคลีกับเด็กคนอื่น
2. หัดเยอรมันที่ติดภายหลัง (Postnatal rubella infection)
นับตั้งแต่หลังคลอดเป็นต้นไป เมื่อได้รับเชื้อหัดเยอรมันแล้วประมาณ 2 สัปดาห์ ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการนำของการติดเชื้อไวรัสทั่วไปเช่น ไข้ต่ำๆ ปวดเมื่อยตามตัว โดยเฉพาะปวดข้อ
มีอาการนำอยู่ 1-3 วันจะเริ่มมีต่อมน้ำเหลืองบวมโตที่บริเวณท้ายทอยและที่หลังใบหู อันเป็นตำแหน่งต่อมน้ำเหลืองโตที่พบได้บ่อยมากสำหรับโรคหัดเยอรมัน และเริ่มมีผื่นสีชมพูจางๆ กระจัดกระจาย เริ่มจากใบหน้าลงมาที่คอ แขน ลำตัว ผื่นจะหายไปในเวลา 3-4 วันเท่านั้น
ระยะติดต่อจะอยู่ที่ประมาณ 5 วันก่อนออกผื่น ไปจนถึง 7 วันหลังออกผื่น หลังจากนั้นจะหายเป็นปกติ
การตรวจยืนยันการวินิจฉัยโรคหัดเยอรมัน
โรคหัดเยอรมันใช้อาการและลักษณะการดำเนินโรคแยกจากไข้ออกผื่นชนิดอื่น เช่น โรคหัด ไข้กุหลาบ (Roseola)
การใช้ลักษณะเหล่านี้จะแยกยากพอสมควร ความจำเป็นในการแยกโรคจะพบในหญิงวัยเจริญพันธุ์หรือหญิงตั้งครรภ์ เพราะต้องระวังอันตรายต่อทารก วิธีแยกโรคและวินิจฉัยโรคที่นิยมมี 2 วิธี ดังนี้
1. วิธีตรวจหาตัวเชื้อ
การตรวจหาตัวเชื้อด้วยวิธีทางชีวโมเลกุลที่นิยมในปัจจุบันคือ RT-PCR ใช้ตัวอย่างที่เก็บจากเยื่อบุด้านหลังคอ มีความไวและความจำเพาะสูง ตรวจได้ตั้งแต่เริ่มมีผื่นขึ้น
สำหรับเด็กที่ติดเชื้อแต่กำเนิด จะสามารถตรวจจากสิ่งส่งตรวจปัสสาวะได้อีกทางหนึ่ง
2. วิธีตรวจหาภูมิคุ้มกันต่อเชื้อ
วิธีตรวจหาภูมิคุ้มกันต่อเชื้อ โดยเฉพาะ IgM จะพบได้ 30-60% ในวันที่เริ่มมีผื่น
ในกรณีตรวจไม่พบ แต่ยังสงสัย ให้ตรวจซ้ำในวันที่ 4 หรือ 5 จะมีโอกาสพบถึง 90%
ส่วนการตรวจระดับภูมิคุ้มกันที่จะปกป้องจากโรค (specific IgG) จะใช้ตรวจว่าหญิงวัยเจริญพันธุ์มีภูมิต้านทานหรือไม่ เพื่อพิจารณาการให้วัคซีน
การรักษาโรคหัดเยอรมัน
โรคหัดเยอรมันไม่มีการรักษาที่เฉพาะเจาะจง จะใช้การรักษาประคับประคองตามอาการเท่านั้น เช่น ให้ยาลดไข้ ยาบรรเทาอาการปวด หรือยาลดอาการคันจากผื่น
โรคหัดเยอรมันไม่รุนแรงมาก และจะหายเองได้ ให้ระมัดระวังเพียงการติดเชื้อซ้ำซ้อนที่ผิวหนังเนื่องจากการเกา
หัดเยอรมัน ถ้าเคยเป็นแล้ว เป็นซ้ำได้ไหม?
หากเคยเป็นหัดเยอรมันแล้ว สามารถเป็นซ้ำได้ แต่โอกาสนั้นน้อยมาก เพราะเมื่อมีภูมิคุ้มกันแล้วจะได้รับการปกป้องยาวนาน
ความสำคัญของโรคหัดเยอรมันและการป้องกันโรค
อาการและความรุนแรงของโรคหัดเยอรมันไม่มากนัก อาการแทรกซ้อนที่สำคัญคือ อาการปวดข้อรุนแรง ที่มักจะหายเองเมื่อผื่นยุบลงแล้ว
สิ่งที่ต้องระมันระวังมากสำหรับโรคนี้ อยู่ที่หากเกิดการติดเชื้อในหญิงตั้งครรภ์ จะมีโอกาสเกิดทารกพิการสูงมาก
มาตรการในการป้องกันที่ดี นอกจากการควบคุมเขตระบาดสำหรับผู้ติดเชื้อแล้ว มาตรการการฉีดวัคซีนก็สำคัญเช่นกัน การฉีดวัคซีนหัดเยอรมันสามารถลดการติดเชื้อ ลดการเกิดโรครุนแรง และลดการแพร่เชื้อในผู้ที่ติดโรคแต่ไม่มีอาการ
ที่สำคัญคือ สามารถลดอัตราความพิการจากโรคหัดเยอรมันแต่กำเนิด (Congenital rubella syndrome: CRS) ได้มาก หากมีการฉีดวัคซีนแบบครอบคลุม
รายงานจากองค์การอนามัยโลกพบว่า อัตราการเกิดโรคลดลงถึง 86% ในช่วงปี ค.ศ. 2000-2012 ที่มีการรณรงค์ฉีดวัคซีนทั้งโลก
ยิ่งประเทศที่มีการฉีดวัคซีนครอบคลุมมาก เช่น ประเทศในแถบยุโรป สามารถลดอัตราการเกิดโรคและพิการลงมากกว่า 90% และเป็นความหวังที่จะกำจัดโรคนี้ได้ เพราะหัดเยอรมันติดต่อจากคนสู่คนเท่านั้น มีวัคซีนคุณภาพดี ประสิทธิภาพสูงมาก ราคาไม่แพง
หญิงตั้งครรภ์ที่สงสัยเป็นโรคหัดเยอรมันจะต้องมีการตรวจเลือด ตรวจหาเชื้อและติดตามใกล้ชิด หากพบว่าติดเชื้อจะต้องได้รับการดูแลจากสหสาขาวิชาชีพ และอาจต้องพิจารณายุติการตั้งครรภ์หากติดเชื้อในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ ดังนั้นการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคจึงมีความสำคัญมาก
วัคซีนหัดเยอรมันเป็นแบบไหน ควรฉีดตอนไหน?
สามารถเลือกฉีดวัคซีนป้องกันหัดเยอรมันได้ ทั้งในรูปวัคซีนเดี่ยวหรือวัคซีนรวม หัด-หัดเยอรมัน-คางทูม หรือ หัด-หัดเยอรมัน-คางทูม-สุกใส
ฉีดเข็มแรกในเด็กอายุ 1 ปีและเข็มที่สองตอนอายุ 6-7 ปี
สำหรับหญิงวัยเจริญพันธุ์หรือวางแผนตั้งครรภ์ ควรรับวัคซีนหัดเยอรมันและชะลอการตั้งครรภ์หลังรับวัคซีนอย่างน้อยหนึ่งเดือน ส่วนหญิงที่ตั้งครรภ์ ห้ามให้วัคซีนหัดเยอรมัน