ในสภาวการณ์ปัจจุบัน รัฐบาลมีนโยบายได้ขยายพัฒนาการทางเทคโนโลยีสมัยใหม่ สู่ชุมชนชนบทมากขึ้นเพื่อพัฒนาคุณภาพชิวิตของประชากรชนบท และให้ทุกคนช่วยตนเองให้มากที่สุด แต่ทุกคนย่อมมีการเจ็บป่วยไม่มากก็น้อย และส่วนใหญ่ทุกคนจะต้องมีการเจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อนเสมอ กระทรวงสาธารณสุขจึงมีการกำหนดเป้าหมายเป็น “ปีรณรงค์คุณภาพชีวิตของประชาชนในชาติ” สอดคล้องกันกับเป้าหมายขององค์การอนามัยโลกที่ว่า “ประชาชนจะมีสุขภาพดีถ้วนหน้าในปี 2543” จากการสำรวจตามสภาพเศรษฐกิจและสังคม ปัจจุบันของคนไทย มีความเคยชินร้อยละ 70 ที่ซื้อยารักษาโรคเองและมียาไว้ประจำบ้าน ก่อนจะไปปรึกษาแพทย์
ด้วยเหตุนี้ประชาชนชนบทควรจะได้รับความรู้เรื่องการใช้ยาง่าย ๆ ไว้บ้าง เช่น ยาตำราหลวงซึ่งเป็นยาสามัญประจำบ้าน ยาประเภทนี้เป็นยาที่ผลิตโดยองค์การเภสัชกรรมและได้จดทะเบียนไว้กับกระทรวงพาณิชย์แล้ว ยาเหล่านี้เป็นยาสามัญประจำบ้านที่ได้รับการยกเว้นให้จำหน่ายได้ โดยไม่ต้องมีใบอนุญาตขายยา ตามประกาศไว้ในราชกิจจานุเบกษา เช่น ยาพาราเซตามอล เป็นยาสามัญ 500 มิลลิกรัม และอยู่ในขนาดบรรจุ 10 เม็ด พร้อมมีฉลากที่มีข้อความว่า “ยาสามัญประจำบ้าน” ยานี้มีจำหน่ายอยู่ตามท้องตลอด ยาสามัญประจำบ้านมี 3 ลักษณะ เช่น เม็ด, ผง, น้ำ, และขี้ผึ้งหรือครีม
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
วิธีการการเก็บรักษายา
ในตู้ยาสำหรับเก็บใส่ยาสามัญประจำบ้านควรจัดให้เป็นระเบียบเพื่อง่ายและสะดวกในการใช้ยา
- ยาชนิดรับประทาน จะต้องจัดแยกกับยาที่ใช้ทาภายนอก
- ยาที่ไม่รับประทาน ต้องปิดฉลากด้วยสีอื่น เช่น สีแดง หรือสีชมพู
- ยาเหล่านี้จะต้องเก็บแยก ห่างจากยาที่เป็นพิษ เช่น ยาฆ่าแมลง เป็นต้น
ตำแหน่งของตู้พยาบาล
- จัดตั้งไว้ในที่สูงที่เด็กเอื้อมไม่ถึง
- จัดตั้งไว้ในที่อากาศเย็น ไม่ถูกแสงแดดหรือร้อนจัด และไม่อยู่ในบริเวณชื้นและสะดวกในการจะไปหยิบใช้
ในตู้ยาประจำบ้านควรมีอะไรบ้าง
- สำลี สะอาด
- ผ้าพันแผล หรือผ้าก๊อซ
- ปลาสเตอร์สำหรับปิดยึดผ้าพันแผลม้วน
- แอลกอฮอล์ 75%
- น้ำยาไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์
- ปากคีบ
- กรรไกร
ยาทั้งชนิดน้ำ ชนิดเม็ด ส่วนมากจะมีอายุของตัวยาที่ประกอบในยาแต่ละอย่าง หากเก็บไว้นานเกินไปจนหมดอายุ ก็เป็นยาเสื่อมคุณภาพ จะใช้ในการรักษาโรค หรืออาการของโรคได้ไม่ดี ยาบางชนิดเมื่อหมดอายุ หากรับประทานไปแล้วเกิดโทษได้อีก ยาที่มีอายุของตัวยา ผู้ผลิตจะบอกวันที่หมดอายุ ไว้ที่ซองหรือฉลากกล่องยา ยาที่มีอายุส่วนมากเป็นยาปฏิชีวนะ รักษากำจัดเชื้อโรคในร่างกายจึงไม่จำเป็นซื้อเก็บไว้ในตู้ยานาน ๆ
การสังเกตดูการเสื่อมสภาพของยา
ยาชนิดน้ำใส
- สังเกตจากสีจะเปลี่ยนไปจากสีที่มีอยู่เดิม โดยมากสีจะคล้ำไปจากเดิม
- น้ำยาจะเริ่มขุ่น และอาจมีตะกอนแขวนลอยอยู่ หรือนอนที่ก้นขวด
- กร่อนจะมีลักษณะกลิ่นบูดเปรี้ยว รสจะเปลี่ยนไปจากเดิม
- ยาน้ำชนิดแขวนตะกอน
- สีจะเปลี่ยนไป
- ตะกอนทำให้ขุ่นมาก ตะกอนอาจจะแข็งตัวขึ้นเขย่าแล้วไม่แตกเป็นเนื้อเดียวกัน
- รสและกลิ่นจะเปลี่ยนไป
ยาเม็ดธรรมดา
- สีจะคล้ำไปจากสีเดิม
- ยาบางชนิดจะตกผลึกเป็นเกล็ดรูปเข็มเล็ก ๆ เกาะติดเม็ดยา
- มีกลิ่นน้ำส้มเช่น แอสไพริน ที่ถูกความชื้นจากอากาศ
- รสจะเปลี่ยนไปบ้างแต่ไม่มากเหมือนยาน้ำ เป็นยาที่ไม่ควรนำไปรับประทาน
- ยาเม็ดชนิดมีน้ำตาลเคลือบ
- สีของน้ำตาลเคลือบจะเปลี่ยนซีดลงและยาเม็ดเยิ้ม สีละลายจากที่ถูกความร้อนหรือความชื้นอากาศสีจะด่างซีดไม่เสมอกัน
- เม็ดอาจจะแตกแยกออก หรือน้ำตาลเคลือบแตกกร่อน
- รสจะเปลี่ยนไป เนื่องจากน้ำตาลหวานที่เคลือบแตกหลุด ตัวยาจะซึมออกมา
ยาชนิดบรรจุในแคปซูล
- โดยมากเป็นผงละเอียดอยู่
- สีภายในยาจะเปลี่ยนไป
- แคปซูลแตกออกหรือพองออก เพราะยาถูกความชื้นจะชื้นบวมดันแคปซูลพอง
- กลิ่นและรสจะเปลี่ยนไป เนื่องจากยาแตกหรือซึมออกจากแคปซูล
ยาชนิดขี้ผึ้งหรือครีม
- สีจะคล้ำไป ยาครีมหรือขี้ผึ้งส่วนมากจะเป็นสีขาวหรือใส จะพบมีจุดด่างดำเกิดขึ้นมีการแยกตัว เช่น น้ำมันอาจจะลอยแยกออกจากกัน ลักษณะจะแข็งขึ้นจากเดิม ทำให้แข็งตัวในหลอดบีบไม่ออกหรืออกยากขึ้น