ชงโคนิยมปลูกเป็นไม้มงคล เนื่องจากตามศาสนาฮินดูเชื่อกันว่าเป็นต้นไม้ของพระนารายณ์ ส่วนคนไทยเชื่อว่าชงโคจะช่วยปกปักษ์รักษาให้คนในครอบครัวมีความสุข ไม่มีอันตรายเข้ามา แต่สิ่งที่หลายคนอาจไม่ทราบคือ ชงโคยังสามารถนำมาใช้ประโยชน์ทางยาได้อีกด้วย
ชื่อวิทยาศาสตร์ Bauhinia purpurea L.
ชื่อวงศ์ LEGUMINOSAE-CAESALPINIOIDEAE
ชื่ออังกฤษ Orchid tree, Purple orchid tree, Butterfly tree, Purple bauhinia, Hong Kong orchid tree
ชื่อท้องถิ่น ดอกตีนวัว เสี้ยวหวาน กะเฮอ สะเปซี เสี้ยวดอกแดง เสี้ยวเลื่อย
หมายเหตุ สำหรับบทความนี้ พรรณไม้ที่กล่าวถึงเป็นคนละชนิดกับต้นชงโคดอกเหลือง ซึ่งอยู่ในวงศ์ Leguminosae (Fabaceae) - AESALPINIOIDEAE เช่นกัน แต่ชงโคดอกเหลืองมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Bauhinia tomentosa L.
ถิ่นกำเนิดและสภาพแวดล้อมในการปลูก
มีถิ่นกำเนิดทางตอนใต้ของประเทศจีนรวมถึงฮ่องกง และทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในประเทศสหรัฐอเมริกานิยมปลูกกันที่รัฐฮาวาย รัฐแคลิฟอร์เนีย ทางตะวันตกเฉียงใต้ของรัฐฟลอริดา และทางตอนใต้ของรัฐเทกซัส ทำให้เป็นไม้ที่ชอบแดด ควรปลูกในที่ได้รับแสงแดดทั้งวัน ดินปลูกควรเป็นดินร่วนหรือดินร่วนปนทรายที่ระบายน้ำดี มีความชื้นสูง
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ชงโคเป็นพรรณไม้ยืนต้น สูงได้ถึง 10 เมตร เป็นไม้ผลัดใบในช่วงสั้นๆ ใบ ใบเรียงสลับ ใบเดี่ยว รูปมนเกือบกลม กว้าง 8-10 เซนติเมตร ยาว 10-14 เซนติเมตร ปลายใบแยกเป็น 2 พู โคนใบมนหรือเว้า ขอบใบเรียบ สีเขียว ดอกมีลักษณะเป็นช่อ ออกตามซอกใบและปลายกิ่ง กลีบดอกมี 5 กลีบ สีชมพูถึงม่วงเข้ม รูปรีกว้างตรงส่วนกลาง เมื่อบานวัดเส้นผ่านศูนย์กลางได้ 6-8 เซนติเมตร เกสรเพศผู้ 5 อัน เกสรเพศเมีย 1 อันอยู่ตรงกลางดอก รังไข่มีขน ดอกจะมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ออกดอกเป็นช่วงๆ ตลอดปี ผล ผลเป็นฝักแบน กว้าง 1.5-2.5 เซนติเมตร ยาว 20-25 เซนติเมตร เมื่อแก่แตกเป็นสองซีก เมล็ดกลม มี 10 เมล็ด
ชงโคแต่ละสายพันธุ์ แต่ละชนิด แตกต่างกันอย่างไร?
ชงโคที่กล่าวในบทความนี้เป็นชนิดดอกสีชมพู มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Bauhinia purpurea L. ส่วนอีกสายพันธุ์หนึ่งคือ ชนิดดอกสีเหลือง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Bauhinia tomentosa L. แตกต่างจากชนิดดอกสีชมพูคือ ด้านล่างของใบจะมีขนสีน้ำตาลประปราย ช่อดอกสั้นกว่า มีจำนวนดอกน้อยกว่า เมล็ดเมื่อแก่จะแตก มีเมล็ด 4-6 เมล็ด ซึ่งน้อยกว่าชนิดดอกสีชมพู ส่วนด้านสรรพคุณทางยานั้น จะนิยมใช้ชนิดดอกสีชมพูมากกว่า
สรรพคุณของชงโค
ชงโคมีสรรพคุณดังนี้
- แพทย์พื้นบ้านชาวล้านนา ใช้รากสด 10-15 กรัม หรือรากแห้งประมาณ 5-7 กรัม นำมาต้มในน้ำสะอาด เคี่ยวให้เหลือครึ่งหนึ่ง ดื่มหรือจิบแทนน้ำชา ใช้เป็นยาเจิญอาหาร ช่วยแก้พิษไข้ร้อนจากเลือดและน้ำดี
- แพทย์พื้นบ้านโบราณ โดยใช้ใบสด 10 กรัม ล้างให้สะอาดนำมาต้มในน้ำ แล้วกรองเอาน้ำจิบและอมกลั้วคอ ช่วยรักษาอาการไอ ช่วยขับปัสสาวะได้
- ใช้ส่วนดอก อบแห้งแล้วบดเป็นผง ผสมเข้าตำรับยาหอม แก้วิงเวียน หน้ามืด และช่วยให้นอนหลับ
- เปลือกของต้นนำไปต้มน้ำดื่มได้ มีสรรพคุณช่วย แก้ท้องเสีย แก้ปวดบิด
- ใบอ่อนของชงโค เป็นผักที่ชาวเหนือนิยมรับประทานนำไปลวกจิ้มน้ำพริกหรือนำไปแกง เช่นแกงกับปลา แกงกับเนื้อนิยมแกงกับผักเชียงดา ผักชะอม มีรสอร่อย ช่วยระบาย แก้อาการท้องผูก
- ชาวอินเดียใช้ส่วนรากและใบ เข้าตำรับยาขับระดูและยาระบาย โดยใช้รากและใบล้างสะอาด ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาระบาย ช่วยขับประจำเดือน
ข้อควรระวังเกี่ยวกับการบริโภคชงโค
สำหรับต้นชงโค ยังไม่พบการศึกษาความเป็นพิษในคนหรือรายงานความเป็นพิษในคน แต่อย่างไรก็ตาม หากมีอาการเจ็บป่วยแล้วประสงค์จะรับประทานต้นชงโค หรือยาที่มีต้นชงโคเป็นส่วนผสมในปริมาณสูง หรือติดต่อกันนานเกิน 3 เดือน ควรปรึกษาแพทย์ก่อน แต่ถ้าหากรับประทานเป็นอาหารทั่วๆ ไป ก็ไม่มีอันตรายใดๆต่อร่างกาย สำหรับสตรีที่กำลังตั้งครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร ควรหลีกการรับประทานต้นชงโคในลักษณะรับประทานเพื่อรักษาโรค เนื่องจากยังไม่มีงานวิจัยรองรับ