โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) เป็นโรคผิวหนังชนิดเรื้อรัง ที่สร้างความทุกข์ทรมานให้กับผู้ป่วยมากที่สุดโดยเฉพาะระยะอาการกำเริบ โดยปรากฏเป็นผื่นแดงกระจายทั่วตัว จนถึงเกิดเป็นแผ่นหนา ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีเลือดออกใต้ผิวหนัง (Auspitz’s sign) ผิวส่วนบนจะหลุดลอกเป็นขุย มีโอกาสเกิดบาดแผล บางรายมีอาการเป็นไข้ปวดข้อร่วมด้วย
ในประเทศไทย พบผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงินนับล้านคน คนไทยเรียกว่า”โรคเรื้อนกวาง” จากลักษณะอาการซึ่งคล้ายกับอาการโรคเรื้อนที่เกิดกับผิวหนังของกวาง สาเหตุของโรคเรื้อรังสะเก็ดเงิน 50 % เกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรม ซึ่งไม่สามารถควบคุมป้องกันได้อีกครึ่งหนึ่งเกิดจากปัจจัยกระตุ้น แยกได้ 2 ปัจจัยคือ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
- ปัจจัยภายใน เช่น สาเหตุจากโรคต่างๆ ที่เกิดกับอวัยวะภายใน เช่น ปอด ตับ ไต หรือระดับฮอร์โมนเกิดการเปลี่ยนปลง ส่งผลต่อสภาวะอารมณ์ ความเครียด หงุดหงิดโมโหง่าย
- ปัจจัยภายนอก สิ่งกระตุ้นภายนอกมักก่ออาการระคายเคืองที่ผิวหนัง เช่น จากการใช้ผลิตภัณฑ์ น้ำยาซักล้างทำความสะอาดบางชนิด การใช้ครีม น้ำหอมบางตัว แพ้อาหารบางประเภท รวมถึงสาเหตุจากการใช้ยารักษาโรคบางชนิด
ลักษณะผื่นคันจากโรคสะเก็ดเงิน
- ชนิดผื่นเล็ก (Guttate) เม็ดแดง ผื่นเล็กๆ เป็นสะเก็ดเป็นขุยสีขาว มักกระจายอยู่ตามแขนขาและทั่วลำตัว
- ชนิดผื่นหนา (Plaque) เป็นสะเก็ดเงินชนิดที่พบได้บ่อย เกิดผื่นแดงเป็นแผ่นหนานูน มีขอบเป็นวงรอบชัดเจนตามแขนขา ลำตัวและหนังศีรษะ ผิวหนังบริเวณผื่นคันแห้งแข็งเป็นขุย อาจเป็นแผลลุกลามและเกิดการอักเสบได้ง่าย
นอกจากนี้ โรคสะเก็ดเงินเกิดขึ้นได้ตามข้อพับ ตามมือและเท้าเป็นตุ่มหนองเรื้อรัง (Pustular) อักเสบแดง บางรายอาจมีไข้ร่วมด้วย หรือสะเก็ดเงินที่เล็บมือเล็บเท้า (Psoriatic nails) เล็บแห้งหนานูนจนผิดรูป ร่อนหลุดง่ายเกิดเป็นหลุมขรุขระ
วิธีรักษาและการใช้ยา
โรคสะเก็ดเงินเป็นโรคเรื้อรัง เป็นๆ หายๆ ไม่สามารถแก้ไขที่ต้นเหตุได้ แพทย์จะให้การรักษาเพื่อควบคุมอาการ รวมถึงให้คำแนะนำในการดูแลป้องกันการกำเริบ ผู้ป่วยต้องมีวินัยในการดูแลทำความสะอาดร่างกายและบริเวณผื่น ปฏิบัติตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัดโดยเฉพาะการใช้ยาแต่ละชนิด สำหรับญาติผู้ป่วยควรทำความเข้าใจกับอาการของโรคนี้ คอยให้กำลังใจ ช่วยเหลือดูแลทำความสะอาดบริเวณที่พักอาศัย หรือช่วยทายาบ้าง เพราะโรคสะเก็ดเงินไม่น่ากลัวและไม่ใช่โรคติดต่อ
ยาทาผิวหนัง
แพทย์จะให้ยาทาชนิดช่วยบรรเทาอาการคัน ลดผื่นแดงที่ผิวหนัง ป้องกันไม่ให้เกิดการอักเสบ
ยางบางชนิดช่วยเร่งการหลุดลอกในตำแหน่งเป็นผื่น เช่น ยาทาในกลุ่มซาลิไซลิก (Salicylic Acid) สำหรับทาตามมือและเท้าบริเวณเกิดผื่นแผ่นหนา ช่วยในการละลายขุยให้หลุดลอกออก และผิวหนังจะนุ่มขึ้น ในตัวยามีส่วนผสมของกรดซึ่งอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองบริเวณข้อพับจึงควรหลีกเลี่ยง และไม่เหมาะสำหรับผิวเด็ก นอกจากนี้แพทย์อาจให้ทาน้ำมันมะกอกตรงบริเวณที่ผิวลอกแล้ว เพื่อลดอาการแสบคัน
ยารับประทาน
สำหรับผู้ป่วยที่มีผื่นแดงลุกลามทั่วทั้งตัว แพทย์มักให้ยาชนิดรับประทานเพื่อลดการเกิดผื่น เช่น ยาเมโธเทรกเซท (Methotrexate) ช่วยยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์ผิวหนัง แต่ยาชนิดนี้มีผลข้างเคียงอาจทำให้เกิดโรคตับอักเสบชนิดเฉียบพลัน ต้องใช้ภายใต้การดูแลรักษาของแพทย์ ซึ่งจะใช้รักษาในผู้ป่วยบางรายเท่านั้น
ผู้ป่วยที่มีอาการอักเสบเป็นหนองลุกลามทั่วตัว แพทย์มักพิจารณาให้รับประทานยาบางชนิดอย่างระมัดระวัง เช่นกัน โดยเฉพาะกับสตรีมีครรภ์ ซึ่งอาจส่งผลให้ทารกพิการ ยาในกลุ่มนี้ เช่น อนุพันธุ์วิตามินเอหรือเรตินอยด์
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
การฉายแสงด้วยรังสีอัลตร้าไวโอเล็ต (Ultraviolet) รังสี UV-A หรือ UV-B
แพทย์อาจเลือกใช้วิธีฉายแสง UV เพื่อยืดเวลาเกิดอาการกำเริบกับผู้ป่วยบางราย
การฉายแสง PUVA
ใช้แสงอัลตราไวโอเลตเอ (PUVA) ร่วมกับการใช้ยา Psoralen เป็นทางเลือกสำหรับผู้ป่วยสะเก็ดเงินที่มีอาการรุนแรง โดยต้องรับการฉายแสงสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ในระยะเวลาและจำนวนที่เหมาะสมภายใต้การดูแลติดตามผลของแพทย์ แต่การใช้แสง PUVA ในการรักษาอาจมีผลข้างเคียงทำให้เกิดมะเร็งผิวหนัง
การควบคุมป้องกันโรคสะเก็ดเงินกำเริบ
เมื่อเกิดอาการกำเริบ ผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงินบางราย ได้รับการรักษาจนหาย โดยเฉพาะในรายที่ค้นพบสาเหตุและปัจจัยกระตุ้น สามารถกำจัดให้น้อยลงจนถึงหมดไปได้ โอกาสกำเริบระยายาวจึงน้อยลง ดังนั้นผู้ป่วยจำเป็นต้องทราบหลักในการปฏิบัติตัว การดูแลตนเองเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการกำเริบ
- ให้ความร่วมมือกับแพทย์ผู้รักษา ทั้งการรับประทานยา การทายา และดูแลสุขภาพตนเองอย่างดีที่สุด
- ลด ละ เลี่ยงปัจจัยกระตุ้น เริ่มต้นที่การจัดสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยหรือที่ทำงานอย่างเหมาะสม
- ปกป้องผิวหนังจากการสัมผัสสิ่งที่จะก่อให้เกิดการระคายเคือง เช่นผลิตภัณฑ์ทุกชนิดที่สัมผัสโดนผิวหนัง รวมถึงการสวมเสื้อผ้าปกปิดเพื่อป้องกันผิวสัมผัสโดนแสงแดดโดยตรง
- ระมัดระวังการเสียดสีจากสิ่งต่างๆ ที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองได้ เช่น การเลือกสวมใส่เสื้อผ้าด้วยเนื้อผ้าที่ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง หรืออับร้อนเกินไป การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่แรงเกินไป หรืออาจระคายเคืองผิวหนัง ลด ละเลี่ยง ไม่แกะไม่เกาในตำแหน่งที่รู้สึกคันระคายเคือง หรือสัมผัสถูไถบริเวณผื่นแดงซึ่งอาจกระตุ้นให้เกิดการอักเสบลุกลาม
- งดสูบบุหรี่ งดดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ทุกชนิด
- รับประทานอาหารมีประโยชน์ เน้นทานผัก ข้าวโพดอ่อน ผักคะน้า ผักกาดขาว กะหล่ำปลี ตำลึง ผักกวางตุ้งซึ่งช่วยลดการแบ่งตัวของเซลล์ผิวหนังที่มากผิดปกติ ชะลอการกำเริบของโรคให้น้อยลง
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ ทำจิตใจให้สงบ หลีกเลี่ยงความเครียดและความวิตกกังวล
วิธีดูแลรักษาตำแหน่งที่เกิดผื่นด้วยตนเอง
หนังศีรษะ
- นวดศีรษะด้วยวิตามินดีเมื่อมีอาการอักเสบ
- เลือกใช้แชมพูสระผมที่มีส่วนผสมของน้ำมันดิน 2-8% (Tar shampoo) ช่วยรักษาและทำให้ขุยหลุดลอก
- กรณีเกิดขุยหนา ใช้ Salicylic acid 1-3% ผสมน้ำมันมะกอก นวดให้ทั่วหนังศีรษะ หมักทิ้งไว้ 3-4 ชั่วโมง ใช้น้ำอุ่นนวดร่วมกับแชมพูที่มีส่วนผสมของน้ำมันดิน หมักทิ้งไว้อีก 5 นาทีแล้วล้างออก ใช้หวีซี่ถี่ๆ หวีสางเศษขุยให้หลุดร่วงจากหนังศีรษะอย่างเบามือ
เล็บ
- ทาครีมหรือขี้ผึ้ง 10-20 % Salicylic acid ทิ้งไว้หนึ่งคืน วันต่อมาขูดสะเก็ดออกจากเล็บ ทายาในกลุ่มวิตามินดี หรือ Calcipotriol ointment
ใบหน้า
- ตัวยาที่เหมาะสำหรับผิวหน้ามักเป็นยาสเตียรอยด์ชนิดอ่อน แต่ไม่ควรใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน
ผ่ามือ-ผ่าเท้า
- ทาด้วยครีมที่มีส่วนผสมของน้ำมันดิน สารเคมีไฮโดรคาร์บอนที่ได้จากธรรมชาติให้ผลการรักษานานกว่ายาในกลุ่มสเตียรอยด์