การบริจาคอวัยวะคือการให้ที่ยิ่งใหญ่ เพราะอวัยวะหรือเนื้อเยื่อของคุณจะถูกนำไปปลูกถ่ายแทนอวัยวะเดิมที่เสื่อมสภาพและไม่สามารถทำงานได้ตามปกติของผู้รอการปลูกถ่าย ช่วยต่อลมหายใจและช่วยให้ผู้รับบริจาคสามารถกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีอีกครั้ง
การบริจาคอวัยวะแต่ละอย่างช่วยชีวิตใครได้บ้าง?
การบริจาคอวัยวะไม่จำเป็นต้องทำในวันที่คุณสิ้นลมไปแล้วเท่านั้น อวัยวะบางอย่างสามารถบริจาคได้ทันทีในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ มาดูกันว่ามีอวัยวะใดบ้างที่สามารถบริจาคได้ บริจาคตอนไหน และอวัยวะเหล่านี้ช่วยชีวิตของผู้ที่รอคอยได้ขนาดไหน
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
หัวใจ
ผู้ที่อาจต้องได้รับการปลูกถ่ายหัวใจ
- ผู้ป่วยโรคหัวใจระยะสุดท้ายจากกล้ามเนื้อหัวใจเสื่อมสภาพ ซึ่งอาจเกิดจากการขาดเลือด หรือสาเหตุอื่นๆ ที่ไม่สามารถรักษาด้วยยาหรือการผ่าตัดทั่วไปได้
ผลลัพธ์การปลูกถ่าย ผู้ป่วย 70-80% สามารถดำรงชีวิตได้เกิน 1 ปี หลังได้รับการผ่าตัดปลูกถ่ายหัวใจ และ 60% สามารถดำรงชีวิตต่อไปได้เกิน 5 ปี
เงื่อนไขของผู้บริจาค ที่สามารถนำหัวใจไปปลูกถ่ายได้
- เสียชีวิตด้วยภาวะสมองตายและได้แสดงความจำนงในการบริจาคอวัยวะนี้ไว้ โดยได้รับความยินยอมจากญาติ
ลิ้นหัวใจ
ผู้ที่อาจต้องได้รับการปลูกถ่ายลิ้นหัวใจ
- มีความพิการของลิ้นหัวใจแต่กำเนิด (Congenital Valve Disease)
- เป็นโรคลิ้นหัวใจรูมาติกส์ (Rheumatic Heart Disease)
- เป็นโรคลิ้นหัวใจผิดปกติจากการเสื่อมสภาพ (Degenerative Valve Disease)
- เป็นโรคลิ้นหัวใจอักเสบจากการติดเชื้อ (Infective Endocarditis)
ผลลัพธ์การปลูกถ่าย
ลิ้นหัวใจที่ได้รับการบริจาคสามารถนำมาผ่านกระบวนการเตรียมและเก็บโดยวิธีพิเศษจะสามารถเก็บรักษาไว้ใช้ได้ถึง 5 ปี และมีโอกาสเกิดการติดเชื้อของลิ้นหัวใจที่ปลูกถ่ายต่ำ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
นอกจากนี้เมื่อเทียบกับการใช้ลิ้นหัวใจเทียมและลิ้นหัวใจจากเนื้อเยื่อสัตว์ใส่แทน ลิ้นหัวใจที่ได้รับบริจาคจะมีอายุการใช้งานค่อนข้างนาน (ประมาณ 10-22 ปี) รวมทั้งช่วยให้ผู้ป่วยไม่ต้องรับประทานยาป้องกันเลือดแข็งตัว ความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดที่ลิ้นหัวใจน้อย ไม่มีเสียงของลิ้นหัวใจดังรบกวน และใช้ได้ดีมากในผู้ที่เป็นโรคลิ้นหัวใจอักเสบจากการติดเชื้อ
เงื่อนไขของผู้บริจาค ที่สามารถนำลิ้นหัวใจไปปลูกถ่ายได้
- ผู้ที่เสียชีวิตจากภาวะสมองตาย แต่หัวใจมีสภาพไม่เหมาะสมต่อการนำไปปลูกถ่าย
- ผู้ที่เสียชีวิตด้วยหัวใจหยุดเต้น
- ผู้ที่ได้รับการปลูกถ่ายหัวใจใหม่ และหัวใจดวงเก่าไม่มีพยาธิสภาพที่ลิ้นหัวใจ
ไต
ผู้ที่อาจต้องได้รับการปลูกถ่ายไต
- ผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรัง โดยปัจจุบันมีผู้ป่วยจำนวนมากถึง 5,961 ราย ที่รอรับการปลูกถ่ายไตใหม่
ผลลัพธ์การปลูกถ่าย การปลูกถ่ายไตนั้นให้ผลลัพธ์ดีมาก โดยภายใน 1 ปีหลังได้รับการปลูกถ่าย พบว่าในผู้ป่วยประมาณ 85% ไตใหม่จะสามารถทำหน้าที่ได้เป็นอย่างปกติ
เงื่อนไขของผู้บริจาค ที่สามารถนำไตไปปลูกถ่ายได้
- ญาติร่วมสายเลือดกับผู้ป่วย เช่น พ่อแม่ พี่ น้อง ลูก หรือคู่สมรส ที่เต็มใจบริจาคไตข้างหนึ่งให้ผู้ป่วย
- ผู้เสียชีวิตจากภาวะสมองตายที่ได้แสดงความจำนงบริจาคอวัยวะนี้ไว้ก่อนตาย หรือได้รับความยินยอมจากญาติ
ทั้งนี้ผู้รอรับไตจะต้องมีหมู่เลือดเดียวกับผู้บริจาค และตรวจพบว่ามีความเข้ากันได้ของเนื้อเยื่อ ถึงจะปลูกถ่ายไตนั้นได้
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
ปอด
ผู้ที่อาจต้องได้รับการปลูกถ่ายปอด
- ผู้ป่วยที่เป็นโรคปอดระยะสุดท้าย ซึ่งมักจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกิน 6-12 ปี หากไม่ได้รับการช่วยเหลือ
ผลลัพธ์การปลูกถ่าย ภายใน 1 ปีหลังจากการปลูกถ่าย ปอดใหม่จะทำงานได้ดีถึง 75%
เงื่อนไขของผู้บริจาค ที่สามารถนำปอดไปปลูกถ่ายได้
- ผู้ที่เสียชีวิตด้วยภาวะสมองตายที่แสดงความจำนงในการบริจาคอวัยวะไว้ก่อนตาย และได้รับความยินยอมจากญาติ
ตับ
ผู้ที่อาจต้องได้รับการปลูกถ่ายตับ
- ผู้ป่วยตับวายเรื้อรังระยะสุดท้าย ซึ่งวินิจฉัยแล้วว่าจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกิน 6 เดือนหากไม่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ เช่น ผู้ป่วยโรคตับแข็ง โรคตับอักเสบเรื้อรังระยะสุดท้าย หรือมะเร็งตับ
ผลลัพธ์การปลูกถ่าย การปลูกถ่ายตับจะให้ผลดีในผู้ป่วยที่มีความมีความพิการของตับมาแต่กำเนิด โดยภายใน 1 ปีหลังจากการปลูกถ่าย ตับใหม่จะทำหน้าที่ได้ดีถึง 75% ในผู้ใหญ่ และ 80% ในเด็ก
เงื่อนไขของผู้บริจาค ที่สามารถนำตับไปปลูกถ่ายได้
- ผู้ที่เสียชีวิตจากภาวะสมองตายที่ได้แสดงความจำนงในการบริจาคอวัยวะนี้ไว้ก่อนตาย และได้รับความยินยอมจากญาติ
ตับอ่อน
ผู้ที่อาจต้องได้รับการปลูกถ่ายตับอ่อน
- ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ซึ่งมักทำร่วมกับการปลูกถ่ายไตหากผู้ป่วยมีภาวะไตวายระยะสุดท้ายด้วย
ผลลัพธ์การปลูกถ่าย ช่วยในการรักษาและป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานได้อย่างดี เช่น ภาวะแทรกซ้อนของหลอดเลือด ไต ระบบประสาท และดวงตา โดยภายใน 1 หลังจากปลูกถ่าย ตับอ่อนใหม่จะทำงานได้ดีประมาณ 78-83%
เงื่อนไขของผู้บริจาค ที่สามารถนำตับอ่อนไปปลูกถ่ายได้
- ผู้ที่เสียชีวิตด้วยภาวะสมองตายที่แสดงความจำนงในการบริจาคอวัยวะไว้ก่อนตาย และได้รับความยินยอมจากญาติ
อวัยวะ...ถึงแม้จำนวนผู้บริจาคไม่น้อย ก็ใช่ว่าจะใช้ได้ทั้งหมด
ข้อมูลจากศูนย์รับบริจาคอวัยวะ สภากาชาดไทย ระบุว่าในปี พ.ศ. 2561 มีผู้แสดงความจำนงบริจาคอวัยวะรวมทั้งหมด 100,014 ราย มีผู้บริจาคได้ 261 ราย ซึ่งอวัยวะที่ได้รับบริจาคมาทั้งหมดนั้นสามารถนำมาใช้ปลูกถ่ายให้ผู้ที่รอการบริจาค 585 ราย ในขณะที่ยอดผู้รออวัยวะในปัจจุบันนั้นยังมีอยู่ถึง 6,245 ราย
ตัวเลขผู้บริจาค 100,014 รายนั้นอาจดูเหมือนมาก แต่จริงๆ แล้วจำนวนผู้ที่บริจาคแล้วเป็นไปตามเงื่อนไข อวัยวะต่างๆ สามารถนำไปปลูกถ่ายให้แก่ผู้ป่วยได้จริงๆ นั้นกลับมีน้อยมาก และไม่เพียงพอสำหรับผู้รอรับบริจาคที่มีมากกว่าถึงประมาณ 24 เท่า ดังนั้นสิ่งที่สำคัญก็คือการเพิ่มจำนวนผู้บริจาคและผู้ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ ซึ่งจะส่งผลให้จำนวนผู้รอรับบริจาคอวัยวะน้อยลงในที่สุด
อวัยวะ | จำนวนผู้รอรับบริจาคอวัยวะ (ราย) |
ไต | 5,961 |
หัวใจ | 22 |
หัวใจและปอด | 22 |
ปอด | 1 |
ตับ | 223 |
ตับอ่อน | 1 |
ตับและไต | 1 |
ตับอ่อนและไต | 14 |
รวมทั้งหมด | 6,245 |
“คนข้างหลัง” คนสำคัญที่ช่วยให้การบริจาคอวัยวะสำเร็จสมบูรณ์
สาเหตุที่ยอดผู้บริจาคและผู้ได้รับบริจาคยังมีไม่เพียงพอนั้นมาจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น การขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการบริจาคอวัยวะ มีความเชื่อผิดๆ ว่าถ้าบริจาคอวัยวะแล้ว เกิดชาติหน้าไปจะมีอวัยวะไม่ครบ ทำให้คนไม่กล้าบริจาคอวัยวะ หรือมีบางกรณีที่เมื่อผู้บริจาคอวัยวะเสียชีวิตลงแล้ว ญาติกลับไม่ยินยอมให้แพทย์นำอวัยวะไป ทำให้การบริจาคกลายเป็นโมฆะ
นอกจากนี้ขั้นตอนการเก็บอวัยวะที่บริจาคก็ทำได้ยาก เพราะต้องอาศัยความพร้อมตลอด 24 ชั่วโมง และต้องทำงานแข่งกับเวลาเพื่อให้ได้อวัยวะที่สมบูรณ์มากที่สุด ตั้งแต่การดูว่าอวัยวะส่วนใดใช้ได้บ้าง ไปจนถึงขั้นตอนจัดเก็บ ขนส่ง และดำเนินการปลูกถ่ายอวัยวะ
อวัยวะแต่ละส่วนมีอายุการจัดเก็บแตกต่างกันไป โดยหัวใจจะนำมาปลูกถ่ายได้ก็ต่อเมื่อเสียชีวิตไม่เกิน 4 ชั่วโมง ตับเก็บได้ 6 ชั่วโมง ปอดเก็บได้ 8 ชั่วโมง ตับอ่อนอยู่ได้ 10 ชั่วโมงกว่าๆ และไตเก็บได้นานสุดที่ 24 ชั่วโมง
ดังนั้นนอกจากตัวผู้บริจาคเองที่มีใจอยากจะ “ให้” แล้ว คนข้างหลังอย่างญาติพี่น้องหรือคนใกล้ชิดก็เป็นบุคคลสำคัญที่จะช่วยให้ทุกอย่างเป็นไปตามเจตนารมณ์ของผู้บริจาค โดยควรดำเนินการแจ้งแพทย์ที่โรงพยาบาลหรือโทรสายด่วนศูนย์รับบริจาคอวัยวะ สภากาชาดไทย 1666 ในกรณีที่เสียชีวิตนอกโรงพยาบาล เพื่อให้เจ้าหน้าที่เดินทางมาตรวจและรับอวัยวะในขณะที่อวัยวะยังสมบูรณ์ที่สุด ความตั้งใจในการให้ครั้งยิ่งใหญ่ของผู้ตายจะได้ไม่สูญเปล่า
อยากบริจาคอวัยวะ สามารถหาข้อมูลได้ที่ไหน?
ไม่ว่าใครก็สามารถแสดงความจำนงเพื่อบริจาคอวัยวะได้ โดยปัจจุบันมีการอำนวยสะดวกให้สามารถทำผ่านช่องทางออนไลน์ เพียงดาวน์โหลดใบแสดงความจำนงบริจาคอวัยวะ กรอกข้อมูลให้ครบถ้วน แล้วส่งไปรษณีย์ไปที่ศูนย์รับบริจาคอวัยวะ สภากาชาดไทย หลังจากนั้นทางศูนย์จะส่งบัตรประจำตัวผู้มีความจำนงบริจาคอวัยวะมาให้ตามที่อยู่ที่คุณระบุไว้
คุณสามารถดาวน์โหลดแบบฟอร์มและอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับการแสดงความจำนงบริจาคอวัยวะได้ที่เว็บไซต์นี้
อย่างไรก็ตาม แพทย์จะทำการตัดอวัยวะหรือเนื้อเยื่อไปปลูกถ่ายให้ผู้ที่รอการบริจาคอวัยวะก็ต่อเมื่อผู้บริจาคที่เสียชีวิตมีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดดังต่อไปนี้
- ขณะเสียชีวิตมีอายุไม่เกิน 60 ปี
- มีภาวะสมองตายด้วยสาเหตุต่างๆ ซึ่งทางการแพทย์ถือว่าเป็นผู้ที่เสียชีวิตแล้ว ไม่สามารถเยียวยารักษาได้
- ไม่เป็นโรคติดเชื้อและโรคมะเร็ง
- ไม่มีโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน หัวใจ โรคไต โรคตับ ความดันโลหิตสูง และไม่ติดสุรา
- อวัยวะที่จะนำไปปลูกถ่ายต้องยังคงทำงานได้ดี
- ไม่มีการติดเชื้อที่สามารถถ่ายทอดผ่านการปลูกถ่ายอวัยวะ เช่น เชื้อไวรัสตับอักเสบบี เชื้อเอชไอวี เป็นต้น
- ได้แจ้งเรื่องการบริจาคอวัยวะให้บุคคลในครอบครัวหรือญาติรับทราบเรียบร้อยแล้ว
สำหรับการบริจาคอวัยวะขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ผู้บริจาคจะต้องเป็นญาติโดยสายเลือดหรือเป็นสามีภรรยากับผู้รับบริจาคเท่านั้น
เมื่อตายไปแล้ว ข้าวของสักชิ้นก็ไม่สามารถนำติดตัวไปได้ แม้กระทั่งร่างกายก็ไม่ได้เป็นของเราอีกต่อไป จะดีแค่ไหนหากอวัยวะของเรายังสามารถช่วยต่อชีวิตของผู้อื่นได้ หรือหากอวัยวะใช้ไม่ได้ ก็ยังสามารถบริจาคร่างกายเพื่อนำไปใช้ในการศึกษาวิจัยของนักศึกษาแพทย์
การบริจาคอวัยวะสามารถทำได้ง่ายๆ ตามขั้นตอนข้างต้น และหากเปลี่ยนใจไม่อยากบริจาคก็ยังทำได้ทุกเมื่อ ทั้งนี้เมื่อยื่นเอกสารแสดงความจำนงในการบริจาคอวัยวะหรือร่างกายเรียบร้อยแล้ว ก็อย่าลืมบอกให้คนข้างหลังทราบถึงเจตนารมณ์ของคุณเองด้วย เพื่อให้พวกเขาเข้าใจและดำเนินการตามที่คุณได้ตั้งใจเอาไว้