การเป็นเบาหวานหมายความว่าคุณจะต้องเริ่มการฉีดอินซูลินโดยอัตโนมัติหรือไม่? คำตอบก็คือขึ้นอยู่กับชนิดของโรคเบาหวานและความรุนแรงของโรค
ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ต้องการอินซูลินเนื่องจากร่างกายไม่สามารถผลิตอินซูลินได้เองในปริมาณที่มากพอ ในขณะที่เบาหวานชนิดที่ 2 พบว่ามีผู้ป่วยเพียง 1/3 เท่านั้นที่ต้องกาอินซูลิน
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
ศูนย์ป้องกันและควบคุมโรค (CDC) ประมาณว่ามีผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ประมาณ 28% ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญบางคนเชื่อว่ามีผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ต้องใช้อินซูลินเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลและไขมันจำนวนมากกว่านี้
เมื่อคุณได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 คุณอาจสงสัยว่าตนเองต้องใช้อินซูลินหรือไม่ คุณอาจกลัวเรื่องการฉีดยา และอาจเชื่อว่าการฉีดอินซูลินแสดงถึงความล้มเหลวของตัวคุณ และปฏิเสธการฉีดยาแม้ว่าคุณจะต้องใช้มันก็ตาม ไม่ว่าอย่างไร อย่างแรกที่ควรทำก็คือทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการฉีดยาตัวนี้
ผู้ป่วยโรคเบาหวานทุกคนต้องฉีดอินซูลินหรือไม่
โรคเบาหวานชนิดที่ 1 และ 2 เป็นภาวะที่บ่งบอกว่าคุณมีอินซูลินไม่เพียงพอ หรือไม่สามารถตอบสนองได้พอที่จะทำการลดระดับน้ำตาลในเลือด ทำให้เกิดปัญหาขึ้น 2 อย่างคือระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงและการลดลงของการสะสมกลูโคสซึ่งเป็นแหล่งพลังงานหลักของร่างกาย
ความแตกต่างระหว่างเบาหวานชนิดที่ 1 และชนิดที่ 2 ก็คือสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะนี้
Beta cells เป็นเซลล์ที่พบในตับอ่อน จะทำหน้าที่ผลิตอินซูลินในแก่ร่างกาย โรคเบาหวานชนิดที่ 1 พบว่าเซลล์เหล่านี้ส่วนใหญ่จะถูกทำลาย ทำให้มีอินซูลินไม่เพียงพอ ดังนั้น ในผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 1 จึงจำเป็นต้องได้รับอินซูลินเพื่อช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
ขณะที่ในเบาหวานชนิดที่ 2 ตับอ่อนจะยังสามารถสร้างอินซูลินได้ แต่มีปริมาณไม่มากพอ หรือร่างกายเกิดการดื้อต่ออินซูลิน ดังนั้น การรับประทานอาหารที่เหมาะสม การออกกำลังกายและยาชนิดรับประทานหลายตัวสามารถช่วยให้ร่างกายสามารถผลิตอินซูลินได้ดีและมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่หากโรคเกิดความรุนแรงขึ้น ก็แสดงว่าอาจจำเป็นต้องใช้การรักษาด้วยการฉีดยาอินซูลิน
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
ทางเลือกในการรักษาด้วยอินซูลิน
มีอินซูลินมากถึง 20 แบบที่จำหน่ายภายในสหรัฐอเมริกา แต่ละชนิดมีความแตกต่างจากสารที่ใช้ผลิต การทำงานในร่างกายและราคา การเลือกใช้อินซูลินขึ้นจะต้องให้ความสนใจกับ 3 ปัจจัยหลักนั่นคือเวลาที่อินซูลินเริ่มออกฤทธิ์ เวลาที่อินซูลินมีประสิทธิภาพมากที่สุด และระยะเวลาที่อินซูลินยังมีประสิทธิภาพอยู่ภายในร่างกาย
แพทย์อาจเลือกใช้อินซูลินชนิดออกฤทธิ์สั้น ออกฤทธิ์แบบปานกลาง และชนิดที่ออกฤทธิ์ยาวขึ้นอยู่กับเป้าหมายในการรักษาโรคและการวางแผนของผู้ป่วย ซึ่งอินซูลินเหล่านี้สามารถเริ่มออกฤทธิ์ได้ตั้งแต่ 10-15 นาทีหรือนาน 6 ชั่วโมงหลังเริ่มฉีด อินซูลินจะยังคงออกฤทธิ์ได้นานถึง 24 ชั่วโมง ในผู้ป่วยบางรายที่มีปัญหากับการปรับระดับยาด้วยตนเองอาจเลือกใช้เป็นอินซูลินที่มีการผสมแล้ว
การใช้อินซูลิน
อินซูลินสามารถเข้าสู่ร่างกายได้หลายวิธี วิธีที่ใช้แบบดั้งเดิมคือการฉีดอินซูลินด้วยเข็มหรือปากกา การใช้ปากกาอาจสะดวกต่อการใช้งานมากกว่า และมีรูปร่างเหมือนปากกาทั่วไป ความถี่และปริมาณยาที่ใช้ขึ้นอยู่กับระดับน้ำตาลในเลือดและชนิดของอินซูลินที่ใช้
นอกจากนั้น ผู้ป่วยยังสามารถใช้อินซูลินแบบสูด (Insulin pumps) ซึ่งจะทำให้ร่างกายได้รับอินซูลินที่ออกฤทธิ์เร็วอย่างต่อเนื่องผ่านสายใต้ผิวหนัง อัตราที่ใช้จะเรียกว่าอัตราเร็วขั้นพื้นฐาน และเมื่อผู้ป่วยมีการรับประทานอาหารตามมื้อหรือขนม หรือต้องการปรับระดับน้ำตาล ผู้ป่วยจะสามารถสั่งให้หลั่งอินซูลินที่เรียกว่า bolus ออกมาเพิ่มเติมได้
อินซูลินแบบสูดดมนี้ เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ออกฤทธิ์สั้นก่อนการรับประทานอาหารหรือขนม ทำผู้ป่วยไม่ต้องฉีดยาในกลุ่มที่ออกฤทธิ์สั้น และก็ไม่ได้มีความแม่นยำเท่ากับการฉีดยา และยังไม่ทราบว่ามีผลข้างเคียงต่อสุขภาพในระยะยาวหรือไม่
เมื่อไหร่ที่ผู้ป่วยจะต้องเปลี่ยนจากการทานยามาเป็นการใช้อินซูลิน
ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่สามารถคุมอาหารและออกกำลังกายได้ดีสามารถคุมโรคได้ดี อย่างไรก็ตามหากมีระดับน้ำตาลที่สูงอย่างต่อเนื่องแสดงว่าต้องเริ่มใช้ยาในการรักษา
ในอดีตผู้ป่วยจะเริ่มรักษาโรคเบาหวานโดยการใช้ยาเบาหวานแบบกิน แต่ในปัจจุบันพบว่าหากผู้ป่วยมีระดับน้ำตาลสะสมมากกว่า 7% อาจเริ่มการรักษาด้วยอินซูลินทันที โดยเมื่อโรคมีความรุนแรงมากขึ้น beta cell ในตับอ่อนจะผลิตอินซูลินออกมาได้ลดลงทำให้ผู้ป่วยต้องได้รับอินซูลินในปริมาณที่มากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อควบคุมโรค ความเร็วของการดำเนินโรคซึ่งก็คือความเร็วในการเสื่อมของ beta cells นั้น ขึ้นกับหลายปัจจัย ซึ่งรวมถึงน้ำหนัก พันธุกรรม การคุมอาหารและกิจกรรมในแต่ละวันของผู้ป่วย และเป็นเรื่องจำเป็นที่ผู้ป่วยควรอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเชื่อว่าการมีระดับน้ำตาลสะสมมากกว่า 7% เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าผู้ป่วยควรเริ่มการใช้อินซูลิน
คุณกำลังกังวลเกี่ยวกับการใช้อินซูลินหรือไม่?
เป็นเรื่องปกติที่จะรู้สึกกังวลหรือไม่สบายใจในการเริ่มใช้อินซูลิน แต่นี่ไม่ควรทำให้คุณเปลี่ยนใจ เนื่องจากหากคุณสามารถใช้ยาได้ถูกต้อง อินซูลินจะเป็นยาที่ช่วยทำให้มีชีวิตอยู่ได้นานขึ้น แต่หากใช้ยาแล้วรู้สึกไม่สบายใจ คุณสามารถปรึกษาทีมแพทย์หรือปรึกษากลุ่มที่ให้ความช่วยเหลือได้