17 Homemade Treatments 17 วิธีการรักษาโรคเริมด้วยตัวเองที่บ้าน

เผยแพร่ครั้งแรก 13 ก.พ. 2018 อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 2020 เวลาอ่านประมาณ 5 นาที
17 Homemade Treatments 17 วิธีการรักษาโรคเริมด้วยตัวเองที่บ้าน

1. รักษาด้วยน้ำมันหอมระเหยเลมอนบาล์ม

เป็นที่ทราบกันดีว่าน้ำมะนาวสามารถใช้ทำความสะอาดสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ภายในบ้านได้ ทว่าการศึกษาวิจัยที่ผ่านมาพิสูจน์ให้เห็นว่า น้ำมันหอมระเหยเลมอนบาล์มช่วยฆ่าเชื้อไวรัสเริมได้อย่างมีประสิทธิภาพ โรคเริมริมฝีปากนั้นเกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่ชื่อ Herpes simplex virus หรือ HSV การรักษาใดๆ ก็ตามที่รักษาได้ตรงกับตัวเชื้อไวรัสที่สุดจะทำให้อาการหายเร็วขึ้น วิธีการรักษาเองที่บ้านดังนี้ เมื่อคุณเริ่มมีอาการปวดแสบจากเริม ลองหยดน้ำมันหอมระเหยเลมอนบาล์มประมาณ 2 หยด ลงบนแผลบริเวณที่มีอาการ จากนั้นประคบแผลด้วยน้ำแข็ง 10 นาที น้ำมันบาล์มจะแข็งตัวและเหนียวข้นขึ้นซึ่งสามารถป้องกันแผลจากเชื้อแบคทีเรียและช่วยไม่ให้แผลแห้งแตกได้ สามารถทำซ้ำเช่นนี้ได้หลายครั้งต่อวันจนกว่าอาการจะดีขึ้น

Tips: การรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ ที่รู้ว่าเริ่มมีอาการจะช่วยหยุดการแพร่กระจายของเชื้อโรคและความรุนแรงที่เกิดจากโรคจะลดน้อยลงด้วย

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*

แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท

 2. แอสไพรินช่วยได้

แอสไพรินไม่ได้มีคุณสมบัติแค่ช่วยบรรเทาอาการปวดเท่านั้น แต่จากการศึกษาวิจัยแสดงให้เห็นว่าการใช้แอสไพรินปริมาณ 125 มก. ต่อวัน ช่วยลดระยะเวลาของการเป็นโรคเริมได้ถึง 50%

 3. ยาป้ายแผลจากแป้งข้าวโพด

วิธีการรักษาเริมด้วยยาพอกที่ทำจากแป้งข้าวโพดนั้นเป็นวิธีโบร่ำโบราณที่ใช้กันมาช้านาน วิธีการง่ายๆ คือ ผสมแป้งข้าวโพดกับน้ำสะอาดให้เป็นเนื้อครีม แล้วพอกบริเวณที่มีอาการ 2-3 ครั้งต่อวัน จนกว่าอาการจะดีขึ้น เนื่องจากแป้งข้าวโพดช่วยปรับสมดุลค่าความเป็นกรดด่างของแผลได้โดยโรคเริมนั้นเกิดจากสภาพความเป็นกรดสูง ซึ่งจะทำให้อาการปวดและการอักเสบบรรเทาลง และเมื่ออาการเริมของคุณหายแล้วคุณยังสามารถใช้ครีมแป้งข้าวโพดที่เหลือกำจัดคราบสกปรกบนพรมผืนโปรดของคุณได้อีกด้วย

 4. ยาพอกจากถุงชา

เมื่อคุณรู้สึกว่าเริ่มมีอาการของเริม ให้นำถุงชาที่ใช้แล้วที่ยังเปียกอยู่และเย็นแล้วประคบลงบริเวณที่คาดว่าจะเกิดแผลเริมประมาณ 10 นาที ทำซ้ำเช่นนี้ 3-4 ครั้งต่อวัน จะช่วยลดระยะเวลาและลดความรุนแรงของการแพร่เชื้อได้ นอกจากนี้ยังพบว่าชา Earl Grey นั้นมีประสิทธิภาพมากที่สุดในการนำมารักษาโรคเริม

5รักษาด้วยไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์

แผลที่เกิดจากอาการเริมอาจติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นและขยายใหญ่ขึ้นหากคุณสัมผัสแผลบ่อยๆ ดังนั้นฆ่าเชื้อด้วยไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์จะสามารถป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียได้ ยิ่งคุณรักษาความสะอาดของแผลมากเท่าไหร่ แผลก็จะยิ่งหายเร็วโดยไม่มีการแพร่กระจายเชื้อโรคเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น

6. ยาป้ายแผลจากชะเอม

ชะเอมมีคุณสมบัติช่วยยับยั้งอาการอักเสบและต้านไวรัสได้ นอกจากนี้ยังพบความเป็นกรดสูงบริเวณรากของต้นชะเอม จากการศึกษาวิจัยพบว่า รากชะเอมมีฤทธิ์ช่วยยับยั้งการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสเริมได้ แม้ว่าการดื่มชาชะเอมอาจช่วยได้แต่วิธีต่อไปนี้จะทำให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น วิธีการคือ ผสมผงรากชะเอมหรือรากชะเอมบด 1 ช้อนโต๊ะ กับวาสลีน 1 ช้อนชา แล้วทาบริเวณที่มีอาการโดยสามารถทาทิ้งไว้ได้หลายชั่วโมงหรือทาค้างคืนไว้ได้เลย

 7. เช็ดแผลด้วยว่านหางจระเข้

วิธีการคือ เช็ดแผลเริมด้วยเจลว่านหางจระเข้บริสุทธิ์หรือว่านหางจระเข้สด 3-4 ครั้งต่อวันจนกว่าอาการจะดีขึ้น เพราะว่านหางจระเข้จะช่วยบรรเทาอาการแสบร้อนจากแผล ช่วยดูแลผิวที่บอบบาง และช่วยปกป้องแผลจากการติดเชื้อแบคทีเรีย จากสรรพคุณที่กล่าวมาเป็นเหตุผลว่าทำไมว่านหางจระเข้จึงถูกนำมาใช้เพื่อรักษาโรคสะเก็ดเงินด้วยเช่นกัน

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!

จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง

8. ทาด้วยทีทรีออยล์ (Tea Tree Oil)

ทีทรีออยล์มีส่วนประกอบของสารต้านเชื้อรา สามารถฆ่าเชื้อและสามารถยับยั้งการเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย นอกจากนี้ยังช่วยรักษาอาการเริมได้อีกด้วย ซึ่งดอกวิชฮาเซลก็มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกัน วิธีการคือ ทาน้ำมันหอมระเหยทีทรีออยล์บริเวณแผลเริม 3-4 ครั้งต่อวัน ทำเช่นนี้จนกว่าอาการจะดีขึ้น

9. เช็ดแผลด้วยวานิลลาสกัด

จริงๆ แล้ววานิลลาสกัดไม่ได้มีประโยชน์แค่เพียงทำให้บ้านของคุณมีกลิ่นหอมสดชื่นเท่านั้น แต่หลายท่านเชื่อว่าแอลกอฮอล์ที่มีอยู่ในวานิลลาสกัดสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อไวรัสเริมได้ ซึ่งจะช่วยลดความรุนแรงของอาการและการแพร่กระจายของโรค ทันทีที่คุณรู้สึกถึงอาการเริมหรือเริ่มมีแผลเริมเกิดขึ้นให้คุณลองใช้วานิลลาสกัดเช็ดทำความสะอาดแผล

10. ทาแผลด้วยไวน์แดง

หากคุณเป็นนักดื่มไวน์ตัวยงหรือมีไวน์แดงอยู่ที่บ้าน คุณสามารถใช้ประโยชน์จากไวน์เพื่อรักษาโรคเริมได้ โดยเทไวน์แดงลงในถ้วยเล็กๆ ปล่อยทิ้งไว้จนกว่าน้ำของไวน์ระเหยจนมีลักษณะเหนียวข้น จากนั้นทาไวน์แดงบริเวณแผลจะช่วยบรรเทาอาการปวดแสบได้ จากการศึกษาพบว่าไวน์แดงมีส่วนประกอบของสารชนิดหนึ่งชื่อว่าสารเรสเวอราทรอล ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยต้านอนุมูลอิสระสามารถบรรเทาอาการอักเสบได้

11. โยนแปรงสีฟันเก่าทิ้งซะ!

เนื่องจากแผลเริมสามารถแพร่กระจายเชื้อโรคได้ง่าย ดังนั้น คุณจึงต้องป้องกันไม่ให้เชื้อโรคแพร่กระจายไปสู่ผู้อื่นหรือกลับมาเป็นซ้ำอีก โดยทิ้งสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ที่สัมผัสกับแผลโดยตรง เช่น แปรงสีฟัน ลิปสติก หรือลิปบาล์ม เป็นต้น

12. เสริมด้วยวิตามินบี 12

จากการศึกษาวิจัยพบว่า ผู้ที่มีแนวโน้มจะเป็นโรคเริมนั้นมีระดับของวิตามินบี12 ค่อนข้างน้อยในร่างกาย ดังนั้นอาการเริมอาจเป็นสัญญาณบอกว่าคุณกำลังขาดวิตามินบี12 การทานวิตามินบี12 เสริมในแต่ละวันจะช่วยลดโอกาสของการเกิดโรคเริมได้ นอกจากนี้วิตามินบี12 ยังพบมากใน อาหารทะเล หอย ปู เนื้อวัว ไข่ และผลิตภัณฑ์จากนม เป็นต้น

13. ทานกรดไลซีนเสริม

ไลซีน (Lysine) ถือเป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดความถี่และป้องกันการเกิดโรคเริมหรือตุ่มใสที่ริมฝีปากได้ จากการศึกษาวิจัยพบว่า กรดไซลีนสามารถขัดขวางการแพร่กระจายของเชื้อเริมโดยทำหน้าที่รบกวนการดูดซับสารอาร์จีนีน (กรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่เชื้อเริมต้องการเพื่อแพร่กระจายเชื้อโรค) ดังนั้นการยับยั้งการดูดซับสารอาร์จีนีนดังกล่าวจะช่วยป้องกันและรักษาอาการเริมให้หายเร็วขึ้นได้ วิธีการรักษาคือ แพทย์จะแนะนำให้ทานอาหารเสริมที่มีกรดไลซีน 3,000 มก. ต่อวัน ควบคู่ไปกับการทานอาหารที่มีส่วนประกอบของไลซีน เช่น เนื้อสัตว์ปีก ไก่งวง ไข่ ผลิตภัณฑ์จากนม เป็นต้น อย่างไรก็ตามควรปรึกษาแพทย์ก่อนทานอาหารเสริมเพื่อคำแนะนำเกี่ยวกับการใช้ที่ถูกต้องและปริมาณที่เหมาะสมต่อร่างกายของคุณ   

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*

แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท

14. หลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่มีส่วนประกอบของอาร์จีนีนและไลซีน

นักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่ากรดอมิโนนั้นมีความจำเป็นมากต่อร่างกาย โดยเฉพาะในขณะที่คุณมีอาการของโรคเริม และเมื่อมีอาการคุณควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่มีกรดอะมิโน (อาร์จีนีนและไลซีน) หรืออาหารที่มีปริมาณของกรดอะมิโนน้อย เช่น ช็อกโกแลต ถั่วลิสง ถั่วอัลมอนด์ เมล็ดเปลือกแข็งต่างๆ ธัญพืช  วุ้นเจลาติน เบียร์ และลูกเกด เป็นต้น

15. ทานอาหารที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย

อาการของโรคเริมมักเกิดขึ้นเมื่อระบบภูมิคุ้มกันของคุณอ่อนแอลง เพื่อให้ระบบภูมิคุมกันทำงานได้อย่างปกติ คุณควรรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินซีและสังกะสีที่มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ จะช่วยเพิ่มความสามารถให้กับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเพื่อต่อสู้กับเชื้อไวรัสเริม อาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินซี ได้แก่ ผลเบอร์รี่ กีวี่ ผลไม้ตระกูลส้ม และผลไม้ประเภทแตง ซึ่งผลไม้ดังกล่าวพบว่ามีปริมาณวิตามินซีมากกว่าส้มเสียอีก ส่วนอาหารที่อุดมไปด้วยสังกะสี ได้แก่ ถั่ว เนื้อสัตว์ปีก หอย และเมล็ดธัญพืชต่างๆ  นอกจากนี้ การดื่มชาสมุนไพรเอ็กไคนาเชียยังสามารถกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของคุณและปกป้องการสูญเสียคอลลาเจนภายใต้ผิวหนังจากการแพร่กระจายของเชื้อโรคเริม

16. หลีกเลี่ยงการแตะและสัมผัสบริเวณแผล

พยายามหลีกเลี่ยงการแตะและสัมผัสบริเวณแผลเริม แม้แผลจะแห้งเป็นสะเก็ดแล้วก็ตาม เพราะมือของคุณอาจมีเชื้อโรคและเป็นสาเหตุทำให้แผลหายช้า นอกจากนี้ แผลเริมนั้นสามารถแพร่กระจายเชื้อได้ด้วยการสัมผัส การแตะหรือจับที่แผลอาจนำเชื้อไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกาย เช่น ดวงตาหรืออวัยวะสืบพันธุ์ และหากเป็นเช่นนั้นคุณก็จะต้องรักษาโรคเริมอยู่อย่างนั้นโดยไม่หายขาดจากโรคเสียที ดังนั้นคุณต้องล้างมือทันทีหลังจากที่คุณสัมผัสแผลหรือหลังจากที่ใช้มือทายาที่แผล และทิ้งผ้า สำลี กระดาษทิชชู หรืออุปกรณ์ ที่สัมผัสแผลทันทีหลังใช้ เพื่อป้องกันการกระจายของเชื้อโรค   

17. ตัวการและพฤติกรรมที่กระตุ้นการแพร่กระจายของเชื้อโรคเริม

เนื่องจากโรคเริมเกิดจากการติดเชื้อไวรัส HSV ดังนั้นการศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมหรือตัวการที่กระตุ้นให้เกิดโรคจะช่วยลดระยะเวลาของการติดเชื้อและช่วยลดความรุนแรงของอาการได้  ตัวการและพฤติกรรมที่กระตุ้น ได้แก่ ภาวะความเครียด อาการเหนื่อยล้าของร่างกาย การทำงานที่ผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย (ซึ่งอาจเกิดจากการใช้ยาบางชนิด) การติดเชื้อ ภาวะการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย และการรับรังสียูวีมากเกินไป เป็นต้น

 

 


5 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่
Beat the bloat. NHS (National Health Service). (https://www.nhs.uk/live-well/eat-well/remedies-for-bloating-and-wind/)
How to avoid bloating after eating: 10 ways. Medical News Today. (https://www.medicalnewstoday.com/articles/322200)

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)