การซื้อประกันสุขภาพ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยแบ่งเบาภาระให้แก่ผู้เอาประกัน นับเป็นการเตรียมความพร้อมในการจัดการเรื่องค่าใช้จ่าย อันเนื่องมาจากโอกาสที่จะเกิดการเจ็บป่วยเมื่อมีอายุมากขึ้นได้เป็นอย่างดี
ประเภทของประกันสุขภาพ
1. ประกันแบบรายบุคคล
เป็นการประกันที่ทางบริษัทประกันจะต้องจ่ายค่าชดเชย ในยามที่ผู้ซื้อ หรือผู้เอาประกันขาดรายได้เป็นวัน เพราะไม่สามารถไปทำงานได้ตามปกติ หรือจ่ายชดเชยในกรณีที่ต้องนอนในโรงพยาบาล ไม่ว่าจะเป็นกรณีเจ็บป่วยด้วยโรคภัยหรือกรณีอุบัติเหตุเป็นบุคคลๆ ไป
โปรแกรมตรวจสุขภาพวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 99 บาท ลดสูงสุด 96%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
2. ประกันแบบกลุ่ม
เป็นการทำประกันที่นายจ้างจัดเป็นสวัสดิการให้แก่ลูกจ้าง โดยจะออกกรมธรรม์ประกันภัยหลักเพียงฉบับเดียวแก่นายจ้างให้เป็นผู้ถือ และลูกจ้างเป็นผู้เอาประกันภัย
โดยลูกจ้างจะได้รับ ใบรับรองการเอาประกันหรือบัตรประกันสุขภาพหรือประกันอุบัติเหตุไว้เป็นหลักฐานในการใช้สิทธิ์นั่นเอง
การคุ้มครองของประกันสุขภาพ
มักมีการรับประกันครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายทดแทนดังนี้
- ชดเชยค่าห้องพัก ค่ารักษาพยาบาล ค่าอาหาร รวมทั้งค่าบริการทางแพทย์ โดยครอบคลุมค่ารักษาฉุกเฉินในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ
- ชดเชยค่าผ่าตัดในกรณีที่ต้องผ่าตัด รวมทั้งค่าที่ปรึกษาทางการแพทย์
- ค่าคลอดบุตร
- ค่าทำฟัน ในกรณีที่ต้องได้รับการดูแลจากทันตแพทย์
- ค่ารักษาในกรณีเป็นผู้ป่วยนอก ไม่ว่าจะเป็นคลินิก หน่วยพยาบาลหรือในโรงพยาบาล
- ค่าชดเชยจากการที่ต้องให้แพทย์และพยาบาลพิเศษมาดูแล
- จ่ายค่าชดเชยเป็นรายวันเพราะสูญเสียรายได้ ในกรณีที่ต้องนอนโรงพยาบาล
- คุ้มครองในกรณีผู้เอาประกันทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิงต่อเนื่อง
วิธีการเลือกซื้อประกันสุขภาพ
1. ต้องพิจารณาว่ามีสวัสดิการใดบ้าง
ต้องเข้าใจอีกอย่างหนึ่งว่า การประกันสุขภาพจะไม่ครอบคลุมในกรณีการเจ็บป่วย หรืออุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากการเสริมความงาม การทำศัลยกรรมต่างๆ รวมทั้งการทำหมันหรือการลดความอ้วน เพื่อจะได้ทราบว่าเราควรเลือกซื้อตัวใดเพิ่มเติมถึงจะเหมาะกับผู้เอาประกัน
2. เลือกซื้อประกันที่แยกค่าใช้จ่ายระบุชัดเจน
ตัวอย่างเช่น ค่าห้อง ค่ารักษา วงเงินการผ่าตัด หรือค่าแพทย์ เพื่อจะได้ทราบค่าใช้จ่ายที่สามารถใช้ได้ในการนอนโรงพยาบาลแต่ละครั้ง หากใช้เกินไปกว่าวงเงินที่บริษัทประกันจ่าย ผู้เอาประกันจะต้องออกค่าใช้จ่ายส่วนต่างที่เหลือเอง
3. สามารถเลือกซื้อแบบเหมาจ่ายได้
เป็นการกำหนดว่า จะต้องนอนในห้องตามราคาที่ประกันจ่าย หากต้องการนอนห้องที่แพงกว่ากำหนด ผู้เอาประกันจะต้องจ่ายส่วนต่างของค่าห้องเอง แต่ค่ารักษาพยาบาลเป็นการเหมาจ่าย บริษัทประกันจะต้องจ่ายชดเชยให้ทั้งหมด ซึ่งนับว่าเป็นการประกันความเสี่ยงที่ค่อนข้างคุ้มค่าเช่นกัน
โปรแกรมตรวจสุขภาพวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 99 บาท ลดสูงสุด 96%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
4. เลือกใช้โรงพยาบาลที่ติดต่อกับบริษัทประกันโดยตรง
เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการใช้บริการ
5. เลือกซื้อประกันที่ไม่แพงจนเกินไป
การซื้อประกันสุขภาพเป็นการลด หรือแบ่งเบาค่าใช้จ่ายในกรณีเจ็บป่วย หากเมื่อใดที่มีค่าใช้จ่ายเกินวงเงินประกัน ผู้เอาประกันก็จ่ายเฉพาะส่วนต่างที่เกินออกมาเท่านั้น
แต่ถ้าต้องการประกันที่เมื่อครบสัญญาแล้วมีเงินออมคืนด้วย แบบนี้จึงควรพิจารณาซื้อชนิดที่เบี้ยสูงขึ้น
6. เลือกซื้อเบี้ยประกันที่ราคาถูก
กรณีผู้เอาประกันที่ไม่ค่อยเจ็บป่วยบ่อยๆ แบบ Deductible คือ ผู้เอาประกันจะเป็นผู้จ่ายประกันส่วนแรก หากมีค่าใช้จ่ายเกินจากที่กำหนด บริษัทประกันจะเป็นผู้จ่ายในส่วนที่เหลือต่อไป
7. เลือกให้เหมาะสมกับความสามารถในการจ่ายเบี้ยประกัน
มีทั้งแบบรายเดือน ราย 6 เดือน หรือรายปี และมีแบบชำระออนไลน์ เช่น ตามร้านสะดวกซื้ออีกด้วย โดยพิจารณาจากรายได้ของผู้เอาประกันว่าสามารถสะดวกจ่ายแบบใดนั่นเอง
ทั้งนี้การคุ้มครองก็ต้องขึ้นอยู่กับรายละเอียดของเงื่อนไขในแต่ละบริษัทด้วย การคำนวณเบี้ยประกันนั้นจะนิยมใช้การคำนวณจากเพศ อายุ สุขภาพ อาชีพและการดำเนินชีวิตมาประกอบ เพื่อให้เหมาะสมกับความจำเป็นต่อสุขภาพ และรายได้ของแต่ละคน
โดยบริษัทประกันจะจ่ายทดแทนให้ตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงสูงสุดไม่เกินจากวงเงินที่เอาประกัน
การประกันสุขภาพจึงนับว่าเป็นการกระจายความเสี่ยง เสมือนเป็นหลักประกันว่าเราจะได้รับการดูแลที่ดีเพราะสามารถเบิกคืนจากบริษัทได้ และยังนำมาลดหย่อนภาษีในแต่ละปีได้อีกด้วย เป็นการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับเราได้อีกทางหนึ่งเลยทีเดียว
เปรียบเทียบราคาและแพ็กเกจตรวจสุขภาพ จากคลินิกและโรงพยาบาลใกล้คุณ และไม่พลาดทุกการอัปเดตเรื่องสุขภาพและโปรโมชั่นเมื่อกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android