การทำโทษเด็กที่ทำพฤติกรรมไม่เหมาะสมจะส่งผลต่อโอกาสที่จะเกิดพฤติกรรมนั้นขึ้นอีกครั้ง การทำโทษยังส่งผลต่อความเชื่อมั่นในตัวเอง ความสัมพันธ์กับผู้ดูแล และมุมมองเกี่ยวกับสิ่งรอบตัวอีกด้วย การทำความเข้าใจระหว่างการทำโทษและผลกระทบจะช่วยให้คุณสามารถวางแผนในการควบคุมความประพฤติได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
อันตรายจากการทำโทษ
การทำโทษไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์และไม่ใช่เรื่องธรรมชาติ
การทำโทษมักจะทำให้เด็กรู้สึกแย่ ตัวอย่างเช่น หากเด็กไม่ทำการบ้าน อาจถูกทำโทษโดยการให้เข้านอนเร็วกว่าปกติ 3 ชั่วโมง ซึ่งไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับการไม่ทำการบ้านแต่อย่างใด เหมือนดังประโยคที่ว่า “การทำโทษไม่เหมาะสมกับความผิดที่ทำ” การทำโทษในลักษณะนี้ไม่ได้ทำให้เด็กทำการบ้านให้เสร็จแต่จะทำให้เกิดปัญหาในความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับลูก
มันมีความแตกต่างระหว่างการมีระเบียบกับการทำโทษ โดยการทำโทษมักทำเพื่อให้มีระเบียบ แต่การมีระเบียบควรถูกใช้ในแง่ของการสอนเด็กเกี่ยวกับการจัดการกับพฤติกรรมและเรียนรู้จากข้อผิดพลาดของตนเองมากกว่า เมื่อมีการทำโทษเกิดขึ้นในวิธีการฝึกระเบียบ จึงมักทำให้เด็กสนใจแต่ความโกรธที่พวกเขามีต่อผู้ปกครองมากกว่าพฤติกกรมของตนเอง ทำให้เด็กเกิดความคิดว่า “แม่เป็นคนร้ายกาจ” มากกว่า “ฉันเป็นคนทำผิด”การทำโทษมักทำให้มีอาการโกรธ อาจมากเกินไป และอาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อเด็ก
ประโยชน์ของการเรียนรู้ผลกระทบ
ผลกระทบทั้งในด้านดีและด้านแย่จะช่วยสอนให้เด็กมีการตัดสินใจที่เหมาะสมขึ้นได้ด้วยตนเอง เพราะทำให้เด็กมีโอกาสเรียนรู้จากความผิดพลาดและรับผิดชอบกับการกระทำของตนเอง ผลกระทบเหล่านี้สามารถเป็นได้ทั้งตามธรรมชาติหรือตามหลักการและให้โอกาสเด็กได้เรียนรู้
ผลกระทบตามธรรมชาติ
ผลกระทบตามธรรมชาติ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยตรงจากพฤติกรรมของเด็ก ตัวอย่างเช่น หากเด็กกระโดดลงไปในโคลน รองเท้าก็จะเปียก หรือหากรับประทานอาหารกลางวันไม่หมด พวกเขาก็จะหิวก่อนเวลารับประทานอาหารเย็น การให้เด็กได้รับผลกระทบเหล่านี้ทำให้เด็กได้เรียนรู้ผลจากพฤติกรรมของตนเองด้วยตัวเอง
ผลกระทบแบบนี้สามารถทำได้เมื่อสิ่งที่เป็นผลกระทบเป็นเรื่องของความปลอดภัย ตัวอย่างเช่น คุณไม่สามารถให้เด็กจับเตาร้อนๆ และให้เด็กเรียนรู้ผลกระทบตามธรรมชาติโดยการถูกไหม้ได้ อย่างไรก็ตาม สามารถให้ลูกได้รับประสบการณ์ที่ทำให้ไม่สบายเล็กน้อยได้เช่นการรู้สึกไม่สบายเมื่อหลังจากไม่ยอมใส่เสื้อหนาวในวันที่อากาศหนาว ก็อาจจะช่วยในการเรียนรู้ของเด็กได้
นอกจากนั้น ควรประเมินพัฒนาของเด็กเพื่อให้มั่นใจว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้นจะทำให้อยู่ในระเบียบวินัยที่เหมาะสมกับช่วงอายุ วิธีนี้ใช้ได้ผลดีในเด็กที่โตแล้วซึ่งสามารถเข้าใจความเชื่อมโยงระหว่างพฤติกรรมของพวกเขากับผลกระทบได้ และจากผลดังกล่าวจะทำให้พวกเขามีความสามารถในการนำข้อมูลตรงนี้มาใช้ประกอบการตัดสินใจในอนาคต
ผลกระทบแบบเป็นหลักการ
ผลกระทบแบบนี้เป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นโดยตรงจากพฤติกรรมของเด็ก ตัวอย่างเช่น หากลูกของคุณขี่จักรยานนอกบริเวณที่กำหนด ผลกระทบแบบเป็นหลักการของกรณีนี้คือเด็กจะไม่ได้รับอนุญาตให้ขี่จักรยานอีกตลอดคืนนั้นแทนการบังคับไม่ให้เล่นวีดีโอเกม หรืออย่างอื่นที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมที่กระทำลงไป
ผลกระทบแบบเป็นหลักการจะช่วยให้เด็กเรียนรู้จากความผิดพลาด เช่น เด็กที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ขี่จักรยานจากการขี่จักรยานนอกบริเวณที่กำหนดจะสามารถจำเหตุผลที่ทำให้ตัวเองไม่ได้ขี่จักรยาน ตรงกันข้าม หากเด็กถูกห้ามไม่ให้เล่นวีดีโอเกมจากการขี่จักรยานออกนอกสวน พวกเขาอาจจำพฤติกรรมที่ทำให้เกิดเหตุการณ์เหล่านี้ขึ้น
มีหลายวิธีที่พ่อแม่อาจใช้เพื่อการฝึกทำให้ผลกระทบแบบเป็นหลักการนั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การเสนอผลกระทบหลังจากพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมทันทีถ้าเป็นไปได้ เช่น หากเด็กตีพี่น้องระหว่างกินอาหารเข้า บอกให้เด็กรู้ว่าการให้เข้านอนเร็วนั้นไม่มีผลอีกต่อไป แต่ควรจะแจ้งตารางเกี่ยวกับผลของการปฏิเสธ หากไม่แจ้งเวลาที่แน่นอน เด็กก็จะไม่รู้สึกตื่นตัวในการทำให้ได้ขนมกลับคืนมา โดยปกติแล้วช่วงเวลาที่เหมาะสมก็คือช่วง 24 ชั่วโมงนั้นเหมือนกลับมา