เวลาออมแสง (Daylight saving time) การที่ปรับเวลาให้ช้าลง (fall back) ไม่ได้เท่ากับการได้นอนหลับเพิ่มมากขึ้น
นักวิจัยมีการศึกษาถึงผลที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงนี้ต่อโรควิตกกังวลและโรคซึมเศร้า
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
เวลาออมแสง (Daylight saving time) จะจบลงในเวลาตีสองของวันอาทิตย์นี้ (อาทิตย์แรกของเดือนพฤศจิกายน) โดยตามทฤษฏีแล้ว การปรับเวลาให้ช้าลง (falling back) หมายถึง การมีเวลาสำหรับการนอนเพิ่มอีกหนึ่งชั่วโมงในวันหยุดสุดสัปดาห์
Winston Churchill เคยได้อธิบายถึงเรื่องเวลาออมแสงไว้ว่า “การหาวเพิ่มขึ้นในช่วงเช้าครั้งหนึ่งในช่วงฤดูใบไม้ผลิ และการได้ต่อเวลานอนเพิ่มขึ้นในค่ำคืนฤดูใบไม้ร่วง เราหยิบยืมหนึ่งชั่วโมงยามค่ำคืนของเดือนเมษายน เพื่อมาจ่ายคืนทีในห้าเดือนให้หลัง”
แต่นั่นเป็นมุมมองที่ดูจะโลกสวยไปเสียหน่อย เพราะในความเป็นจริงแล้วผู้คนไม่ค่อยได้ใส่ใจ หรือไม่สามารถตักตวงผลประโยชน์ได้จากการนอนเพิ่มขึ้นหนึ่งชั่วโมงในช่วงสุดสัปดาห์ เพราะการปรับเปลี่ยนวงจรการตื่น-นอนนั้นจะยังไม่คงที่และรบกวนการนอนต่อได้อีกหลายวัน
ทีมนักวิจัยทั่วโลกได้พยายามศึกษาถึงการเสียหรือได้รับชั่วโมงการนอนเพิ่มขึ้นจากเวลาออมแสงนั้นส่งผลต่อเรื่องสุขภาพอย่างไรบ้าง นักวิจัยจาก Michigan ได้มีการตีพิมพ์ผลงานลงในวารสารโรคหัวใจอเมริกัน (American Journal of Cardiology) มีการศึกษาที่ให้ผลสรุปว่ามีภาวะหัวใจวายเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในวันแรกของช่วงเวลาออมแสงของฤดูใบไม้ผลิ ที่เราเสียหนึ่งชั่วโมงของการนอนไป ซึ่งผลการศึกษานั้นเหมือนกับงานวิจัยจากสวีเดน ที่มีการตีพิมพ์ลงใน วารสารการแพทย์นิวอิงแลนด์ (New England Journal of Medicine) ซึ่งพบว่ามีภาวะหัวใจวายเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในช่วงเริ่มเวลาออมแสง และลดลงเล็กน้อยในช่วงสิ้นสุดเวลาออมแสง
นักวิจัยอื่น ๆ ยังมีการศึกษาโดยการเปรียบเทียบข้อมูลการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน ความปลอดภัยในที่ทำงาน หรือแม้กระทั่งการเรียน ซึ่งให้ผลสรุปที่หลากหลาย
เวลาออมแสงและการนอน
แต่การเน้นไปเพียงแค่เรื่องการได้เวลานอนเพิ่มขึ้นหรือสูญเสียไปนั้นอาจบดบังภาพรวมที่แท้จริง - ผลของเวลาออมแสงต่อวงจรการหลับนอน มีงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์เกี่ยวกับการหลับนอน (Sleep Medicine Reviews) โดย Dr.Yvonne Harrison, อาจารย์ประจำที่มหาวิทยาลัย Liverpool John Moores ในประเทศอังกฤษ มีผลสรุปว่า การปรับเปลี่ยนชั่วโมงการนอนเพียงหนึ่งชั่วโมงนั้นสามารถส่งผลต่อวงจรการหลับนอนได้เป็นสัปดาห์
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง มีประชากรเพียงจำนวนน้อยที่จะได้รับชั่วโมงการนอนเพิ่มขึ้นหนึ่งชั่วโมงนั้นจริง ๆ เพราะในช่วงสัปดาห์ต่อมา หลายคนจะตื่นเช้าขึ้นกว่าปกติ และมีปัญหาในการเข้านอน โดยส่วนใหญ่มักมีการตื่นกลางดึก กลุ่มคนที่นอนน้อย (short sleeper) (นอนน้อยกว่า 7.5 ชั่วโมงต่อคืน) และกลุ่มคนที่ตื่นแต่เช้าเป็นประจำ (early risers หรือ larks) จะมีปัญหาเกี่ยวกับการปรับเวลาการนอนนี้มากที่สุด
โดยปัญหาเช่นเดียวกันนี้จะพบเจอในช่วงฤดูใบไม้ผลิเช่นกัน ซึ่งกลุ่มคนตื่นแต่เช้าเป็นประจำ และนอนน้อย ก็จะเป็นกลุ่มที่ประสบปัญหานี้
การดีดตัวกลับเวลาเดิม (Springing back)
เราทุกคนต่างเคยมีประสบการณ์ที่พบว่า ภาวะทางกาย จิตใจ และพฤติกรรมนั้นมีการเปลี่ยนแปลงระหว่างวัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เรียกว่า วงจรนาฬิกาชีวภาพ (Circardian rhythm) โดยช่วงเวลากลางวันและกลางคืนในแต่ละวันจะเปลี่ยนแปลงวงจรนี้อยู่ตลอด 24 ชั่วโมง
การนอนหลับเป็นส่วนประกอบหนึ่งของวงจรนาฬิกาชีวภาพ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอก เช่น แสงสว่าง หรือ เวลาออมแสง โดยการนอนหลับสามารถส่งผลต่อวงจรนาฬิกาชีวภาพของร่างกายส่วนอื่นได้
มันเป็นเรื่องยากที่จะเลี่ยงผลข้างเคียงของร่างกายต่อเวลาออมแสง คำแนะนำคือขอให้ตระหนักไว้ว่า เวลาออมแสงนั้นสามารถมีผลต่อวงจรนาฬิกาชีวภาพ และวงจรการหลับนอนของคุณได้เป็นอาทิตย์ และให้พยายามปรับตัวกับมัน การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ในเวลาเดียวกันทุก ๆ วัน อาจช่วยให้การนอนหลับของคุณกลับไปตรงตามเวลาที่ควรมากขึ้น การเข้านอนและตื่นเป็นเวลา รวมถึงการงีบหลังในช่วงกลางวัน 1-2 ครั้งในหนึ่งสัปดาห์ก็เป็นทางเลือกที่ดีและจะช่วยเรื่องการชั่วโมงการนอนหลับที่ขาดไป