กองบรรณาธิการ HD
เขียนโดย
กองบรรณาธิการ HD
ทีมแพทย์ HD
ตรวจสอบความถูกต้องโดย
ทีมแพทย์ HD

เมื่อฉันเริ่มตั้งครรภ์เดือนที่ 5

เผยแพร่ครั้งแรก 5 ก.พ. 2019 อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 2020 ตรวจสอบความถูกต้อง 7 มี.ค. 2019 เวลาอ่านประมาณ 2 นาที
เมื่อฉันเริ่มตั้งครรภ์เดือนที่ 5

เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์จนมาถึงเดือนที่ 5 นี้ ทารกในครรภ์จะมีขนาดประมาณ 8-10 นิ้ว การเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์จะแรงพอให้คุณแม่รู้สึกได้ ลำตัวของทารกเริ่มมีขนอ่อนปกคลุม เริ่มมีเส้นผมและคิ้ว มีไขปกคลุมตามตัว พัฒนาการของสมองดำเนินไปอย่างรวดเร็ว เริ่มมีการหลับตื่น และตอบสนองต่อเสียงภายนอก

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ฝากครรภ์ คลอดบุตรวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 79 บาท ลดสูงสุด 65%

จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!

ในเดือนที่ 5 ของการตั้งครรภ์จะมีการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่คุณแม่สามารถรู้สึกได้ดังนี้

  • ทารกในครรภ์เริ่มดิ้นจนคุณแม่รู้สึกได้
  • มีมูกในช่องท้องเพิ่มขึ้น
  • อาการท้องผูก หรืออาจเป็นริดสีดวงทวาร
  • ท้องอืดท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย และมีลมในท้อง
  • ปวดศีรษะบ้าง บางครั้งอาจมีอาการเป็นลม เวียนศีรษะง่าย
  • แน่นคัดจมูก เลือดกำเดาออก และหูอื้อ
  • หิวบ่อย
  • อาจเป็นตะคริวมากขึ้น
  • มีอาการบวมที่ตาตุ่มและเท้า บางรายหน้าและมือก็บวม
  • มีเลือดขอดที่ขา
  • ชีพจรเต้นเร็วขึ้น
  • เริ่มมีอาการปวดหลัง จากการอุ้มท้อง และน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น
  • ความรู้สึกทางเพศเปลี่ยนแปลง
  • สีผิวที่หน้าท้องและใบหน้าเข้มขึ้น
  • อารมณ์แปรปรวนลดลงจากเดือนก่อนๆ แต่ยังอ่อนไหวบ้าง
  • มีอาการหลงๆลืมๆ คุณแม่อาจใช้วิธีการจดสิ่งที่สำคัญลงในกระดาษโน้ตเล็กๆเพื่อป้องกันการหลงลืมได้

สิ่งที่แพทย์ผู้ดูแลครรภ์จะให้คุณทำในช่วงเดือนนี้ได้แก่

  1. ชั่งน้ำหนักตัวและวัดความดันเลือด
  2. ตรวจภายใน (กรณียังไม่ได้ตรวจ)
  3. ตรวจน้ำตาลและสารไข่ขาวในปัสสาวะ
  4. ฟังเสียงเต้นของหัวใจของทารกในครรภ์ และอาจมีการอัลตราซาวน์ทารกในครรภ์
  5. ตรวจขนาดและรูปร่างของมดลูก โดยการตรวจหน้าท้อง
  6. ความสูงของระดับยอดของมดลูก
  7. อาการบวมที่มือและเท้า และหลอดเลือดที่ขา
  8. ตรวจโรคตับอักเสบ
  9. อาการผิดปกติต่างๆ (ถ้ามี)

สิ่งที่คุณแม่ที่ตั้งครรภ์ต้องดูแลเป็นพิเศษในช่วงเดือนนี้คือ

  1. ดื่มน้ำมากๆและอยู่ในอากาศที่มีความชื้น ไม่แห้งจนเกินไป จะสามารถบรรเทาอาการแน่นคัดจมูก เลือดกำเดาออก และหูอื้อได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้นการดื่มน้ำและรับประทานอาหารที่มีกากใย จะช่วยบรรเทาอาการท้องผูก และลดโอกาสในการเกิดริดสีดวงทวารในคุณแม่ตั้งครรภ์ได้
  2. อาจมีอาการเวียนศีรษะบ่อยๆ เนื่องจากมดลูกขยายใหญ่ขึ้นจนอาจไปกดทับหลอดเลือดแดงใหญ่บริเวณกลางลำตัว ดังนั้นเวลาลุกนั่งหรือเปลี่ยนท่าต่างๆ ก็จะทำให้การไหลเวียนของเลือดเปลี่ยนไป ทำให้ความดันลดลงอย่างกระทันหัน ทำให้เลือดไม่สามารถมาเลี้ยงสมองได้ทันจึงเกิดอาการเวียนศีรษะได้ คุณแม่สามารถป้องกันอาการดังกล่าวได้โดยเมื่อต้องเปลี่ยนท่าหรืออิริยาบถต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการลุก นั่ง นอน เดิน ควรทำอย่างช้าๆ จะช่วยให้ร่างกายค่อยๆ ปรับเปลี่ยนการไหลเวียนของเลือดได้ทัน นอกจากนั้นคุณแม่ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้มซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ อีกวิธีหนึ่งที่สามารถช่วยได้คือกินโปรตีนทุกมื้อ กินให้บ่อยขึ้น หรือกินอาหารว่างระหว่างมื้อ เพื่อไม่ให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำเกินไป
  3. ตรวจโรคตับอักเสบชนิดบี หากพบว่าติดเชื้อต้องเข้ารับการรักษาโดยด่วน
  4. หลีกเลี่ยงการใส่ส้นสูง และออกกำลังกายเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหลังเพื่อบรรเทาอาการปวดหลัง จากการอุ้มท้อง และน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น
  5. การยกของหนัก หรือการอุ้มลูกคนโต หากต้องอุ้มลูก หรือยกสิ่งของที่มีน้ำหนักมากกว่า 10 กิโลกรัม อาจเป็นอันตรายต่อกล้ามเนื้อหลังอย่างมาก หากลูกคนโตอ้อนขอให้อุ้มควรพูดกับลูกให้เข้าใจว่าตอนนี้ลูกโตแล้วจะต้องเดินเองได้แล้ว ดีกว่าการไปบอกว่าตอนนี้แม่มีน้องอยู่ในท้อง จึงอุ้มลูกไม่ได้ เพราะจะทำให้ลูกคนโตเกิดอาการอิจฉาน้องได้
  6. ในระยะนี้จะเริ่มมีอาการเท้าบวม ควรบริหารและออกกำลังกายบริเวณเท้าบ้าง และอย่าใส่รองเท้าที่คับมากเกินไป อาจใช้หมอนรองบริเวณขาให้สูงขึ้นเล็กน้อย และอย่าใส่รองเท้าส้นสูง จะช่วยลดอาการปวดเท้าได้
  7. เนื่องจากระยะนี้ทารกจะมีการเจริญเติบโตของร่างกายและกระดูก ดังนั้นคุณแม่ควรรับประทานธาตุเหล็ก ไอโอดีน และแคลเซียมอย่างเพียงพอ 


3 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่
วราวุธ สุมาวงศ์, คู่มือการฝากครรภ์และการคลอด (https://www.slideshare.net/mdh...)
พิษณุ ขันติพงษ์, การดูแลครรภ์แนวใหม่ตามข้อแนะนำองค์การอนามัยโลก (http://www.phraehospital.go.th...)
P&G, 20 weeks pregnant : Your Baby's Development (https://www.pampers.com/en-us/...)

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)

บทความต่อไป
ทารกมีอัตราการเต้นของหัวใจช้า อันตรายหรือไม่
ทารกมีอัตราการเต้นของหัวใจช้า อันตรายหรือไม่

เรื่องง่ายๆ ที่คุณแม่ทุกคนต้องใส่ใจเพราะอัตราการเต้นของหัวใจสัมพันธ์กับความปลอดภัยของลูกน้อย

อ่านเพิ่ม
อะไรคือสัญญาณการฉีกขาดในภาวะตั้งครรภ์นอกมดลูก?
อะไรคือสัญญาณการฉีกขาดในภาวะตั้งครรภ์นอกมดลูก?

เรียนรู้สัญญาณการตั้งครรภ์นอกมดลูกก่อนที่มันจะฉีกขาด

อ่านเพิ่ม
ทำความเข้าใจกับภาวะตั้งครรภ์ที่ไข่ที่ปฏิสนธิไม่ฝังตัว (Chemical Pregnancy) ใช่หรือไม่ใช่?
ทำความเข้าใจกับภาวะตั้งครรภ์ที่ไข่ที่ปฏิสนธิไม่ฝังตัว (Chemical Pregnancy) ใช่หรือไม่ใช่?

การตั้งครรภ์ที่เร็วเกินไปที่จะยืนยันด้วยวิธีการทางชีวเคมี

อ่านเพิ่ม