โรครากประสาทขา หรือกลุ่มอาการรากประสาทกระเบนเหน็บ (Cauda equina syndrome) เป็นหนึ่งในอาการที่เกิดจากหมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาท โดยปกติกระดูกสันหลังของเราซึ่งมีลักษณะเป็นท่อนๆ เรียงยาวจากลำคอมาจนถึงก้นกบ จะมีส่วนที่เรียกว่า หมอนรองกระดูก (spinal disc) เป็นแผ่นกระดูกอ่อนคอยขั้นระหว่างกระดูกสันหลังเพื่อลดการเสียดสีเวลาเราเคลื่อนไหว ส่วนภายในโพรงกระดูกสันหลัง จะมีไขสันหลังซึ่งภายในก็มีเส้นประสาทอยู่ และส่วนที่เส้นประสาทแยกออกมาจากไขสันหลังซึ่งอยู่ชิดกับหมอนรองกระดูก เราจะเรียกว่า รากประสาท หากหมอนรองกระดูกเสื่อมและเลื่อนมากดทับรากประสาท จะทำให้เกิดอาการปวดตามร่างกาย การส่งกระแสประสาทเกิดขึ้นผิดปกติด้วย ซึ่งส่วนที่พบว่าถูกกดทับบ่อย คือรากประสาทส่วนกระเบนเหน็บ หรือ Sciatic nerve ที่ลงไปเลี้ยงขา เราจึงเรียกความผิดปกตินี้รวมๆ ว่า โรครากประสาทขา นั่นเอง
อาการของโรครากประสาทขา
อาการนั้นเกิดขึ้นได้ทั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง โดยที่พบได้บ่อยๆ ได้แก่
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
- ปวดเอวหรือกระเบนเหน็บ ร้าวลงมายังสะโพก ต้นขา น่อง และเท้า โดยเฉพาะเมื่อมีการเคลื่อนไหว เช่น ก้มตัว เดิน วิ่ง หรือไอจาม
- รู้สึกชาที่ส่วนล่างของร่างกาย เช่น ขาหนีบ รอบก้น อวัยวะเพศ และขา
- รู้สึกแสบร้อน หรือเจ็บแปลบคล้ายถูกเข็มแทง บางครั้งรู้สึกเหมือนมีแมลงไต่
- ขาอ่อนแรง ควบคุมการเคลื่อนไหวลำบาก เช่น ยกขาเหยียดตรงไม่ได้ การถ่ายอุจจาระและปัสสาวะผิดปกติ เช่น อาจท้องผูก หรือกลั้นปัสสาวะ/อุจจาระไม่ได้
สาเหตุของโรครากประสาทขา
เกิดจากหมอนรองกระดูกส่วนที่อยู่ติดกัน เคลื่อนมากดทับรากประสาทบริเวณเอวหรือกระเบนเหน็บ หรือบางครั้งก็อาจเกิดจากการบาดเจ็บของรากประสาทโดยตรง ซึ่งปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดโรคนี้ ได้แก่
- อายุมากขึ้น ทำให้ช่องว่างระหว่างกระดูกสันหลังตีบแคบลง
- เกิดอุบัติเหตุที่ทำให้กระดูกสันหลังเคลื่อน
- เป็นโรคมะเร็งที่แพร่กระจายมายังรากประสาท เช่น มะเร็งต่อมลูกหมาก
- มีเนื้องอกที่บริเวณรากประสาท
- เกิดการอักเสบของร่างประสาทจากสาเหตุต่างๆ เช่น เป็นโรคภูมิต้านทานตัวเอง
- เกิดการติดเชื้อลุกลามมายังไขกระดูกและรากประสาท
- เป็นผลข้างเคียงจากการเจาะหลัง
ใครบ้างที่เสี่ยงเป็นโรครากประสาทขา
- ผู้สูงอายุที่มีภาวะกระดูกเสื่อม
- คนที่ต้องทำงานใช้แรงมากๆ เช่น ยกของหนักเป็นประจำ
- ผู้ที่ประสบอุบัติเหตุ และเกิดการกระแทกบริเวณเอว
- คนที่ทำกิจกรรมต่างๆ ในอิริยาบถที่ไม่เหมาะสมกับสรีระ
การรักษาโรครากประสาทขา
โรครากประสาทขา จะเน้นการรักษาที่อาการปวด ชา ร่วมกับการรักษาที่สาเหตุตามความจำเป็น โดยมีแนวทางดังนี้
- การรักษาด้วยยา ยาที่ใช้ได้แก่
- ยาแก้ปวด เช่น ยาพาราเซตามอล และยากลุ่ม NSAIDs ซึ่งสามารถลดอาการปวดได้ชั่วคราวเท่านั้น
- ยาแก้อักเสบ เช่น ยาสเตียรอยด์ ซึ่งบางครั้งอาจฉีดไปยังรากประสาทโดยตรง ใช้ในกรณีที่รากประสาทเกิดการอักเสบรุนแรง
- ยาปฏิชีวนะ ใช้เฉพาะภาวะที่มีการติดเชื้อแบคทีเรียที่รากประสาทและไขสันหลัง
- การทำกายภาพบำบัด เป็นการฟื้นฟูสภาพกล้ามเนื้อส่วนขา เอว สะโพก ที่อ่อนแรงให้กลับมาแข็งแรง โดยจะเน้นการบริหารกล้ามเนื้อดังกล่าว ร่วมกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ส่งผลเสียต่อสรีระ เช่น การนั่งทำงานในอิริยาบถไม่เหมาะสม ซึ่งเป็นวิธีที่ช่วยบรรเทาอาการปวด และช่วยให้การเคลื่อนไหวร่างกายดีขึ้น
- การผ่าตัด อาจจำเป็นต้องทำหากมีอาการของโรครุนแรง ถึงขั้นทำให้ขยับตัวลำบาก เดินไม่ได้ และเป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิต รวมถึงรักษาด้วยวิธีอื่นๆ ไม่ได้ผล แต่การผ่าตัดก็อาจมีความเสี่ยงจากการติดเชื้อ และการบาดเจ็บของเส้นประสาทและเนื้อเยื่อรอบๆ ได้
- การรักษาด้วยการแพทย์ทางเลือก ปัจจุบันการแพทย์แผนจีนเป็นตัวเลือกในการรักษาที่คนให้ความสนใจ และเชื่อว่าได้ผลดี อย่างเช่น การฝังเข็ม และการกดจุด ซึ่งตามหลักแล้ววิธีดังกล่าวจะช่วยให้การไหลเวียนเลือดในจุดที่บาดเจ็บดีขึ้น ช่วยลดอาการปวดบวม และลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อรอบๆ จึงช่วยป้องกันไม่ให้รากประสาทถูกกดทับมากกว่าเดิม
การป้องกันโรครากประสาทขา
โรครากประสาทขาเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ จึงอาจไม่สามารถป้องกันได้อย่างสิ้นเชิง แต่เราอาจหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงบางอย่างได้ เช่น การปรับอิริยาบถในการนั่ง นอน เดิน และการทำงานให้เหมาะสม หลีกเลี่ยงการยกของหนัก การก้มๆ เงยๆ เป็นประจำ และระวังไม่ให้กระดูกสันหลังส่วนเอวถูกกระแทก เป็นต้น