ขาโก่ง เป็นอาการที่ขาของผู้ป่วยโก่งออกจากกัน หมายความว่าหัวเข่าทั้งสองข้างจะแยกไม่แตะกัน แม้จะวางข้อเท้าชิดกันก็ตาม อาการขาโก่งบางครั้งถือเป็นสัญญาณของโรคที่ซ่อนอยู่ เช่น โรคเบลาต์ (Blount’s Disease) หรือโรคกระดูกอ่อนในเด็ก (Rickets) และอาจตามมาด้วยโรคข้ออักเสบ (Arthritis) ในบริเวณข้อเข่าหรือข้อต่อสะโพก
การสังเกตอาการขาโก่ง
อาการขาโก่งเป็นเรื่องธรรมดาในทารก เนื่องจากทารกต้องโก่งตัวงอเพื่ออยู่ในมดลูก แต่ในช่วงอายุระหว่าง 12 ถึง 18 เดือน ขาของเด็กจะเริ่มเหยียดตรงเมื่อพวกเขาเริ่มหัดเดิน แต่หากบุตรหลานของคุณมีอาการขาโก่งช่วงวัยเกิน 2 ขวบขึ้นไป อาจจะต้องปรึกษากับแพทย์เพื่อทำการแก้ไขต่อไป
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
สาเหตุของอาการขาโก่ง
อาการขาโก่ง อาจเกิดขึ้นได้จากสาเหตุต่อไปนี้
- โรคเบลาต์ (Blount’s Disease) : โรคนี้จะทำให้หน้าแข้งของเด็กพัฒนาผิดปกติ และมีลักษณะโค้งในระดับใต้เข่า เมื่อเด็กที่เป็นโรคนี้เริ่มฝึกเดิน การโค้งงอของขานั้นจะแย่ลง ในบางคน อาการขาโค้งหรือโก่งดังกล่าวจะพบเห็นได้ชัดตั้งแต่วัยเด็ก โรคเบลาต์พบได้บ่อยในผู้หญิง ผู้ที่มีเชื้อสายแอฟริกัน-อเมริกัน และเป็นเด็กอ้วน รวมถึงเด็กที่ฝึกเดินเร็วเกินวัย (โดยปกติ เด็กควรเริ่มเดินด้วยตัวเองในช่วงระหว่างอายุ 11 ถึง 14 เดือน)
- โรคกระดูกอ่อนในเด็ก (Rickets) : โรคดังกล่าวเป็นความผิดปกติที่เกิดจากการขาดวิตามินดีเป็นเวลานาน ทำให้กระดูกอ่อนตัวลงและนิ่มลงจนทำให้ขาโก่งไม่ตรงเช่นเดิม
- โรคพาเก็ท (Paget’s Disease) : โรคนี้เกี่ยวข้องกับกระบวนการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย ที่ส่งผลกระทบต่อกระบวนการสลายและการสร้างกระดูก ดังนั้นกระดูกของผู้ป่วยจะไม่สามารถซ่อมแซมตัวเองได้ที่ควรจะเป็น เมื่อเวลาผ่านไป โรคดังกล่าวจะทำให้เกิดปัญหาตามข้อต่อ และอาการขาโก่งตามมา โรคพาเก็ทนั้นพบได้บ่อยในผู้สูงอายุ และสามารถรักษาให้หายขาดได้ หากวินิจฉัยพบได้ไวและได้รับการรักษาในช่วงแรกๆ ของโรค
- โรคแคระ (Dwarfism) : เป็นรูปแบบหนึ่งของโรคแคระที่พบมากที่สุด เกิดจากสภาวะที่มีชื่อทางการแพทย์คือ Achondroplasia ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของการเจริญเติบโตของกระดูกที่ผิดปกติ และอาจส่งผลให้ขาโก่งได้เมื่อเวลาผ่านไป
- สาเหตุอื่น ๆ : อาการขาโก่ง อาจเป็นผลมาจาก
- กระดูกแตกหักและยังไม่หายดี
- กระดูกที่พัฒนาผิดรูป (Bone Dysplasia)
- พิษตะกั่ว
- พิษฟลูออไรด์
การวินิจฉัยอาการขาโก่ง
อาการขาโก่งสามารถวินิจฉัยได้ง่าย แต่การจะบอกว่ามีความรุนแรงมากน้อยเพียงใด จะทำได้ก็ต่อเมื่อแพทย์ทราบถึงความผิดปกติที่เป็นสาเหตุของโรคแล้วเท่านั้น
เมื่อเข้าพบแพทย์ แพทย์มักทำการวัดความยาว ขนาดของขา และสังเกตขณะที่เดิน อาจมีการถ่ายภาพรังสีเอกซเรย์หรือการตรวจอื่น ๆ เพื่อตรวจหาความผิดปกติของกระดูกขาและหัวเข่า รวมถึงมีการตรวจเลือดเพื่อตรวจสอบว่าอาการขาโก่งเกิดจากความผิดปกติอื่นๆ เช่น โรคกระดูกอ่อน หรือโรคพาเก็ทหรือไม่
การรักษาอาการขาโก่ง
กรณีที่ทารกและเด็กเล็กเกิดอาการขาโก่ง โดยปกติแล้วแพทย์จะไม่ทำการรักษาให้ เว้นแต่จะทราบสาเหตุที่แน่นอน และสาเหตุนั้นมีความผิดปกติเฉพาะหรือรุนแรง
ทางเลือกในการรักษาอาการขาโก่งที่พบได้โดยทั่วไป คือ
- สวมใส่รองเท้าเฉพาะ
- ใช้เครื่องพยุงขา
- การใส่เฝือก
- การผ่าตัดเพื่อแก้ไขความผิดปกติของกระดูก
- การรักษาโรคหรือความผิดปกติที่ทำให้ขาโก่ง
การป้องกันอาการขาโก่ง
ปัจจุบันยังไม่มีวิธีป้องกันอาการขาโก่งได้ แต่สามารถป้องกันโรคบางอย่างที่สามารถนำไปสู่อาการขาโก่งได้ เช่น คุณสามารถป้องกันโรคกระดูกอ่อนในเด็กได้ โดยให้บุตรหลานของคุณได้รับวิตามินดีอย่างเพียงพอ ทั้งจากอาหารและการได้รับแสงแดด เป็นต้น
ที่มาของข้อมูล
Ann Pietrangelo, What Causes Bow Legged? (https://www.healthline.com/symptom/bow-legged), March 20, 2018.